โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 134,688.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินต้น 77,058 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นตัดสินชี้ขาดคดีฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 132,188.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 77,058 บาท นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า สำเนาคำฟ้องโจทก์ที่จำเลยได้รับไม่มีหน้าที่ 2 จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม เห็นว่า การที่ฟ้องจะเคลือบคลุมหรือเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคหนึ่ง จะต้องพิจารณาจากคำฟ้องทั้งฉบับ ซึ่งตามฟ้องโจทก์ที่อยู่ในสำนวนที่โจทก์ส่งศาลได้บรรยายฟ้องถึงอำนาจฟ้องไว้โดยแจ้งชัด กล่าวคือโจทก์เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายประเทศสหรัฐอเมริกา มีวัตถุประสงค์ประกอบการธนาคารพาณิชย์และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ โจทก์มอบอำนาจให้มีผู้จัดการในประเทศไทยมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์และมอบอำนาจช่วงได้ ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้มอบอำนาจให้นางศศิธร ดำเนินคดีแทนโจทก์ตลอดจนมอบอำนาจช่วงให้บุคคลอื่นดำเนินคดีแทนได้ซึ่งนางศศิธรได้มอบให้นายสตีเฟน และหรือนางสาวอำนวยพร และหรือนายพรเทพ และหรือนายเศกสรรค์ หรือนายชัยนงค์ คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงฟ้องคดีแทนโจทก์ คำฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงชอบแล้ว ส่วนการที่โจทก์ส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยขาดไป 1 หน้านั้น หาทำให้คำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมแต่อย่างใด การที่จำเลยได้รับสำเนาคำฟ้องมีหน้าไม่ครบถ้วนควรที่จำเลยจะติดต่อขอรับจากศาลหรือขอคัดถ่ายเอกสารจากศาลได้ แต่จำเลยหาได้กระทำไม่ พฤติการณ์ในการต่อสู้คดีของจำเลยจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่สุจริต ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามการที่โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ การประกอบธุรกิจของโจทก์อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการให้กู้ยืมเงินโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตอบแทนจากผู้กู้ซึ่งการเรียกดอกเบี้ยจะต้องเป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด ซึ่งในขณะที่จำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์นั้นธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์รวมทั้งโจทก์จะเรียกดอกเบี้ยได้จะต้องประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้แล้วส่งสำเนาประกาศไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงจะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ ดังนั้น การที่โจทก์คิดค่าธรรมเนียมในการกู้ยืมเงินจากจำเลยอัตราร้อยละ 0.5 ของวงเงินที่กู้หรือ 1,500 บาท โดยหักจากต้นเงินที่จะจ่ายให้แก่จำเลย จึงเป็นการไม่ชอบ นอกจากนี้ตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของโจทก์มิได้มีข้อกำหนดให้เรียกเบี้ยปรับในกรณีชำระล่าช้า ดังนั้นการที่โจทก์เรียกเบี้ยปรับในการชำระเงินล่าช้าครั้งละ 500 บาท จึงไม่ชอบเช่นกัน แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ในข้อนี้แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับผิดชำระต้นเงิน 99,250 บาท โดยให้นำเงินที่จำเลยชำระมาหักชำระหนี้ ณ วันที่มีการชำระในแต่ละครั้ง โดยให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.5 ต่อเดือนในระยะเวลา 6 เดือนแรกนับแต่วันที่จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์ หลังจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยหลังฟ้องต้องไม่เกินจำนวนที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ