โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาโดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๒๗๓ มาเป็นหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหาไปจากโจทก์ และสัญญาว่าจะส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดของเจ้าพนักงาน หากผิดนัดจำเลยยอมใช้เงินจำนวน ๑๐๖,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ เมื่อถึงกำหนดนัดส่งตัวผู้ต้องหาวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๙ จำเลยผิดนัดไม่ส่งตัวผู้ต้องหา โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง โจทก์จึงมีคำสั่งให้ปรับจำเลยและมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระค่าปรับ แต่จำเลยเพิกเฉย จนกระทั่งวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๕ จำเลยนำเงินจำนวน ๑๐๖,๐๐๐ บาท มาชำระค่าปรับแก่โจทก์ ส่วนดอกเบี้ยผิดนัดจำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๐๖,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๙ ถึงวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๕ เป็นเวลา ๖ ปี ๑ เดือน ๒๓ วัน เป็นเงิน ๔๘,๘๖๔ บาท ขอให้จำเลยชำระเงิน ๔๘,๘๖๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สิทธิเรียกร้องเอาดอกเบี้ยของโจทก์เริ่มตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๙ ถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๑๑ ปีเศษ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๘,๘๖๔ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวมเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ดังนั้น การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๓๘ ประกอบมาตรา ๒๔๗ ซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาไปจากการควบคุมของโจทก์และผิดสัญญาไม่ส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัดในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๙ โจทก์จึงมีคำสั่ง สั่งปรับจำเลย ต่อมาวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๕ จำเลยนำค่าปรับจำนวน ๑๐๖,๐๐๐ บาท มาชำระแก่โจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยชำระค่าปรับจำนวน ๑๐๖,๐๐๐ บาท แก่โจทก์เป็นการชำระเพื่อให้หนี้ตามสัญญาประกันระงับ มิใช่เรื่องรับสภาพหนี้เพราะความรับผิดตามสัญญาประกันได้ระงับลง แต่การนับอายุความในเรื่องดอกเบี้ยของค่าปรับซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๙ ซึ่งเป็นวันผิดนัดส่งตัวผู้ต้องหาไม่สะดุดหยุดลง เมื่อนับถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๑๑ ปีเศษ คดีโจทก์ จึงขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่า ดอกเบี้ยตามฟ้องโจทก์เป็นจำนวนเงินที่แยกออกจากต้นเงินค่าเบี้ยปรับจำนวน ๑๐๖,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยจึงเป็นหนี้คนละส่วนกับต้นเงิน ดังนั้น การที่จำเลยชำระต้นเงินจำนวน ๑๐๖,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๕ จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้บางส่วนที่จะถือว่าลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๑๔ (๑) ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลย เนื่องจากจำเลยผิดสัญญาประกันเป็นดอกเบี้ยค้างชำระมีอายุความ ๕ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๑) โจทก์ฟ้องเรียก ดอกเบี้ยค้างชำระตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๙ ถึงวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๐ ซึ่งนับถึงวันฟ้องเลยกำหนด ๕ ปี คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ .