คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 22/1 หมู่ที่ 7 ตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลกจังหวัดพิษณุโลก ออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 127 และ 135 ตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลกจังหวัดพิษณุโลก ของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินดังกล่าวเสร็จสิ้น แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปรื้อบ้านดังกล่าวแล้วบางส่วน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า บ้านที่เจ้าพนักงานบังคับคดีรื้อถอนเป็นบ้านเลขที่ 14 หมู่ที่ 7 ตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ของผู้ร้อง ไม่ใช่บ้านเลขที่ 22/1 ของจำเลย ขอให้ศาลสั่งงดการบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ดำเนินการบังคับคดีรื้อถอนบ้านเลขที่ 22/1 ของจำเลย ไม่ใช่บ้านเลขที่ 14 ของผู้ร้อง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินจากโจทก์เพื่อปลูกบ้านเลขที่ 22/1 หมู่ที่ 7 ตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ค่าเช่าเดือนละ 100 บาท นับจากวันทำสัญญาเช่าจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 6 ปีเศษ โจทก์ประสงค์ใช้ที่ดิน จึงมีหนังสือบอกเลิกการเช่า แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมออกไป ขอให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวและออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของนางทอง เพชรจันทร์หรืออุปจันทร์ แม่ยายจำเลย เมื่อนางทองถึงแก่กรรม ที่ดินดังกล่าวตกเป็นของภริยาจำเลยและพี่น้องภริยาจำเลย โจทก์ปลอมลายมือชื่อนางทองในหนังสือมอบอำนาจและกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจให้ผู้อื่นจดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยไม่เคยเช่าที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ สัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอม คดีเดิมของเรื่องนี้จึงเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ ซึ่งให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ10,000 บาท และจำเลยมิได้ต่อสู้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวอันจะทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ คู่ความในคดีเดิมจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคสอง คดีนี้เป็นเรื่องในชั้นบังคับคดีซึ่งผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอน จึงเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับบริวารของจำเลยให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ เมื่อคู่ความในคดีเดิมต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคสอง และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม ผู้ร้องฎีกาว่า บ้านที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปรื้อถอนเป็นบ้านของผู้ร้อง มิใช่ของจำเลย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย"
พิพากษายกฎีกาของผู้ร้อง