โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย มีข้อตกลงกับจำเลยว่าในการขายสินค้าให้จำเลยโจทก์จะได้รับค่าตอบแทนในอัตราร้อยละ 1.5 ของราคาสินค้าที่ขายได้โดยจำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์ทุก 3 เดือน คือเดือนมีนาคมมิถุนายน กันยายน และธันวาคม ต่อมาเดือนกันยายน 2535 ถึงเดือนมิถุนายน 2536 โจทก์ขายสินค้าให้จำเลยได้หลายรายการคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 29,525,434.22 บาท ซึ่งโจทก์มีสิทธิจะได้รับค่าตอบแทนการขายทั้งสิ้น 442,881.51 บาท แต่จำเลยไม่ยอมชำระโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันที่ 1 กรกฎาคม 2536 ที่โจทก์ได้ทวงถามก่อนลาออกไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การจ่ายค่าตอบแทนการขายสินค้าให้แก่จำเลยนั้น มีข้อตกลงที่เป็นเงื่อนไขระหว่างโจทก์กับจำเลยอยู่การขายสินค้าให้แก่ลูกค้าของจำเลยตามฟ้องโจทก์นั้นมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าวจากจำเลย และจำเลยไม่ใช่ผู้ผิดนัดไม่ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ฟ้องโจทก์อ้างว่าขายสินค้าให้แก่จำเลยได้ระหว่างเดือนกันยายน 2535 ถึงเดือนมิถุนายน 2536 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจากจำเลยในช่วงดังกล่าว 3 งวด คืองวดที่ 1 เดือนธันวาคม 2535 งวดที่ 2 เดือนมีนาคม 2536และงวดที่ 3 เดือนมิถุนายน 2536 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่3 กุมภาพันธ์ 2538 เงินในงวดที่ 1 ที่โจทก์ฟ้องมาจึงพ้นกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เกิดสิทธิแล้วเป็นอันขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การขายสินค้าของโจทก์เป็นไปตามเงื่อนไขข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนการขายตามฟ้อง และข้อตกลงเกี่ยวกับค่าตอบแทนการขายสินค้าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงานการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าตอบแทนดังกล่าวจึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญา ซึ่งมีกำหนดอายุความ 10 ปี สิทธิเรียกร้องเกิดขึ้นระหว่างปี 2535 ถึง 2536 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์2538 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน442,881.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2538 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย อุทธรณ์ ต่อ ศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงข้อเดียวว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยมีหน้าที่ขายสินค้าโดยมีข้อตกลงกันว่าหากโจทก์ขายสินค้าได้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการขายอัตราร้อยละ 1.5 ของยอดขายแต่หากโจทก์เป็นเพียงผู้ประสานงานภายหลังการขายโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ค่าตอบแทนการขายตามฟ้องเป็นค่าตอบแทนงวดเดือนธันวาคม 2535 ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับตามข้อตกลงที่กล่าวแล้วจำเลยอุทธรณ์ว่า ค่าตอบแทนการขายสินค้าเป็นค่าจ้างอย่างหนึ่งซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องเรียกภายใน 2 ปี เมื่อโจทก์ฟ้องเกิน 2 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยมีหน้าที่ขายสินค้า หรืออีกนัยหนึ่งคือพนักงานขายนอกจากโจทก์จะได้รับเงินเดือนเป็นค่าจ้างประจำแล้ว หากโจทก์เป็นผู้ขายสินค้าได้เองโจทก์ยังมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการขายในอัตราร้อยละ 1.5 ของยอดขายด้วย ค่าตอบแทนการขายนี้โจทก์จะได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจำนวนยอดขายที่โจทก์สามารถขายได้ จึงเห็นได้ว่าค่าตอบแทนการขายเป็นเงินส่วนหนึ่งที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการตอบแทนในการทำงาน โดยคิดตามผลงานที่โจทก์ทำได้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ได้ให้บทนิยามคำว่าค่าจ้างไว้ว่าเงินหรือเงินและสิ่งของที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ เมื่อค่าตอบแทนการขายจำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการตอบแทนในการทำงานโดยคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้และมีกำหนดงวดเวลาจ่ายไว้แน่นอน เงินค่าตอบแทนการขายจึงเป็นค่าจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ตามที่กล่าวแล้ว ค่าตอบแทนการขายในคดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นค่าตอบแทนที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ในงวดเดือนธันวาคม 2535 ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินค่าตอบแทนการขายดังกล่าวตั้งแต่เดือนมกราคม 2536 เป็นต้นมา เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2538 จึงเกิน 2 ปีนับแต่โจทก์สามารถใช้สิทธิเรียกร้องได้คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(9)
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์