โจทย์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ จำเลยได้เช่าที่ดินของวัดเสาธงทองโจทก์ ปลูกห้องแถว ๒ ห้อง และได้ต่ออายุสัญญาเช่าตลอดมา เดือนมกราคม ๒๔๙๔ จำเลยได้ทำสัญญาเช่ากำหนด ๑ ปีจำเลยได้ผิดสัญญาให้ผู้อื่นเช่าช่วง โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง จำเลยไม่ปฏิบัติตาม จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาเดิมที่เป็นสัญญาต่างตตอบแทน ยอมให้จำเลยเช่าที่พิพาท ๓๐ ปี นับแต่ พ.ศ.๒๔๗๑ ถ้าจะให้รื้อห้องแถว ให้โจทก์คืนเงิน ๖๐๐ บาทและค่าสินไหม ๕๐๐๐ บาท
ในวันชี้สองสถานจำเลยรับในข้อเท็จจริงบางประการ ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาเช่าที่จำเลยรับว่าได้ทำไว้มีข้อความว่าเช่ามีกำหนด ๑ ปี แล้ห้ามเช่าช่วง การที่จำเลยจะขอสืบพยานว่าการที่เช่าที่พินพิพาทนี้เป็นที่เข้าใจกันในระหว่างคู่สัญญาว่าเช่ากันโดยไม่มีกำหนด เวลาและจำเลยมีสิทธิให้เช่าช่วงได้นั้น เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญา ซึ่งมีชัดแจ้งแล้ว ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ม.๙๔ จำเลยคัดค้านว่าเมื่อครบกำหนด ๑ ปีแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์ที่เช่าโดยโจทก์มิได้คัดค้าน ต้องถือว่ามีการเช่าใหม่ไม่มีกำหนดเวลา โจทก์ยังมิได้บอกเลิกสัญญาใหม่นี้ยังไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ก่อนครบกำหนดสัญญาเช่า จำเลยผิดสัญญาโดยให้ผู้อื่นเช่าช่วง จำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าให้รื้อสิ่งปลูกสร้งออกไปจากที่เช่าภายใน ๓๐ วัน การที่จำเลยยังขืนอยู่ต่อไปจึงเป็นการละเมิด ไม่ใช่เรื่องเช่าใหม่ไม่มีกำหนดเวลา
พิพากษายืน