โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 354, 59, 83 และ 86
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้ตายได้รับรองโจทก์ว่าเป็นบุตรแล้วหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า หลังจากผู้ตายรับโจทก์มาอยู่ที่บ้านผู้ตายแล้ว ผู้ตายได้อุปการะเลี้ยงดูและให้โจทก์เรียนตัดเย็บเสื้อผ้า ทั้งผู้ตายยังเป็นเจ้าภาพแต่งงานให้โจทก์ด้วยพิเคราะห์ภาพถ่ายครอบครัวผู้ตายหมาย จ.2 ย่อมเห็นได้ว่าบุคคลในภาพถ่ายเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ไม่มีบุคคลอื่นมาร่วมถ่ายด้วย กล่าวคือนอกจากมีผู้ตายและจำเลยที่ 3ภริยาผู้ตายแล้วก็มีแต่บุตรผู้ตายทั้งหมด เช่นบุคคลในภาพหมายเลข 2คือโจทก์ หมายเลข 7 คือ นายบุญส่ง กิจนุกูล บุตรบุญธรรมนอกนั้นเป็นบุตรผู้ตายเกิดกับจำเลยที่ 3 โจทก์ยังยืนยันอีกว่าก่อนตายผู้ตายเขียนหนังสือสัญญาพินัยกรรม พ.ศ. 2536 เอกสารหมาย จ.8 มีข้อความสรุปได้ว่าผู้ตายมีบุตรชาย 9 คน บุตรสาว 4 คนข้อเท็จจริงได้ความด้วยว่าหลังจากจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5ร่วมกันจัดการมรดกของผู้ตายโดยระบุในบัญชีรายชื่อทายาทผู้ตายมีจำนวน 15 คน รวมทั้งโจทก์ ทั้งยังระบุไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกด้วยปรากฏตามเอกสารการจัดการมรดกของผู้ตายเอกสารหมาย จ.13 (แผ่นที่ 3 ที่ 6 ถึงที่ 9)เห็นได้ว่าตามพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าว ผู้ตายแสดงต่อโจทก์ให้เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าโจทก์เป็นบุตรด้วยคนหนึ่ง จำเลยที่ 3ที่ 4 และที่ 5 ย่อมทราบดี จึงร่วมกันจัดทำเอกสารการจัดการมรดกของผู้ตายดังกล่าวขึ้น คดีฟังได้ว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายของผู้ตายที่ผู้ตายได้รับรองแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 ดังนั้นโจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4), 28(2)ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า คดีโจทก์มีมูลว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่าปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัย แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวนพอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมายได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยใหม่ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนางจันทรพยานโจทก์ว่า เมื่อปี 2533 ผู้ตายเคยบอกว่าซื้อที่ดินทั้ง 3 แปลงตามฟ้อง แต่ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2ไว้แทนเนื่องจากผู้ตายมีที่ดินจำนวนมากอาจถูกสำนักงานปฏิรูปที่ดินยึดคืนไป ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวสอดคล้องกับข้อความในหนังสือสัญญาพินัยกรรม พ.ศ. 2536 เอกสารหมาย จ.8 ที่ว่าผู้ตายเป็นผู้ออกเงินซื้อที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าวและใส่ชื่อจำเลยที่ 1และที่ 2 แทน นอกจากนี้โจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.8 ด้วย เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวเช่นนี้ย่อมทราบข้อความดังกล่าวดี การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มิได้นำที่ดินทั้ง 3 แปลงตามที่ระบุไว้ไปเป็นมรดกของผู้ตายโดยมิได้ระบุในรายการทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง เอกสารหมาย จ.13 การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีมูลความผิดฐานยักยอกตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นเพียงผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยที่ 4 และที่ 5 มิได้เป็นทายาทของผู้ตายและมิได้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.8 เมื่อที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าวมีชื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.9 ถึง จ.11 จำเลยที่ 4และที่ 5 ย่อมเชื่อว่าที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมิได้นำมาระบุไว้เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเพียงผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 3 แปลงแทนผู้ตายหรือจำเลยที่ 4 และที่ 5รู้เห็นในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3อย่างไร คดีเฉพาะจำเลยที่ 4 และที่ 5 ไม่มีมูลอันเป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง เมื่อได้ความตามทางไต่สวนมูลฟ้องว่า เฉพาะจำเลยที่ 3เท่านั้น ซึ่งคดีมีมูลว่าได้กระทำผิดในฐานที่เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 ส่วนจำเลยที่ 1และที่ 2 แม้ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 3 ด้วยก็ตามแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กระทำผิดในฐานที่เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 ประกอบด้วยมาตรา 83แต่มีมูลความผิดตามมาตรา 352 ประกอบด้วยมาตรา 83และเมื่อคดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีมูลความผิดตามมาตรา 352, 83 แล้ว ในการกระทำอันเดียวกันนั้น จำเลยที่ 1และที่ 2 ย่อมไม่มีมูลเป็นความผิดตามมาตรา 354 ประกอบมาตรา 86 อีก"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบด้วยมาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 3 ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 354 ประกอบด้วยมาตรา 83นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1