โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 เป็นเช็ค 2 ฉบับสั่งจ่ายเงินฉบับละ 50,000 บาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ที่ 2 หลบหนี ศาลชั้นต้นจึงจำหน่ายคดีคงดำเนินคดีจำเลยที่ 3 ต่อไป แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3ตามเช็คฉบับละ 5 เดือน รวมจำคุก 10 เดือน
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะการที่โจทก์อ้างว่าได้ร้องทุกข์ภายในอายุความ ไม่เป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมายนั้น ข้อความในบันทึกการร้องทุกข์มีว่า '.....มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้สั่งจ่ายตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุดในชั้นนี้ขอรับเช็คคืนไปเก็บรักษาไว้ เพื่อจะได้ติดต่อกับผู้สั่งจ่ายอีกทางหนึ่ง' ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่าข้อความในบันทึกการร้องทุกข์ เอกสารหมาย จ.5 ในตอนต้นระบุว่ามาร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้สั่งจ่ายจนกว่าคดีจะถึงที่สุดแสดงว่าโจทก์ได้แจ้งความกล่าวหาโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษแม้จะมีข้อความในตอนหลังว่าในชั้นนี้ขอรับเช็คคืนไปเก็บรักษาไว้ เพื่อจะได้ติดต่อกับผู้สั่งจ่ายอีกทางหนึ่งก็ตาม ก็มิใช่เป็นข้อความที่แสดงว่ายังไม่มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการดังจำเลยฎีกา การขอรับเช็คกลับคืนไปก็เพื่อติดต่อกับผู้สั่งจ่ายอีกทางหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีผลกระทบต่อการแจ้งความร้องทุกข์แต่อย่างใดดังนั้นข้อความในเอกสารหมาย จ.5 จึงเป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (7) แล้ว เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินวันที่ 5 ตุลาคม 2524 ผู้รับมอบอำนาจให้แจ้งความก็มาแจ้งความร้องทุกข์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2524 ซึ่งเป็นเวลาไม่เกิน 3 เดือน นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2525 ภายในกำหนดห้าปีคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 3ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.