คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งบ้านซึ่งเป็นทรัพย์มรดกออกเป็น ๔ ส่วน ให้โจทก์ได้ ๑ ส่วน หากการแบ่งไม่อาจทำได้ก็ให้เอาบ้านออกขายทอดตลาด ได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งกันตามส่วน คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ขอให้ขายทอดตลาดบ้านพิพาทโดยอ้างว่าไม่สามารถแบ่งกันได้ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านพิพาทและประกาศขายทอดตลาด
จำเลยยื่นคำร้องว่าโจทก์ฟ้องโดยตีราคาบ้านพิพาทเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงมีส่วนได้ตามคำพิพากษาเป็นเงิน ๒,๕๐๐ บาท จำเลยขอวางเงิน ๒,๕๐๐ บาท ต่อศาลเพื่อให้โจทก์รับไป ขอให้งดการขาดทอดตลาดและถอนการยึดบ้านพิพาท
โจทก์แถลงคัดค้านว่าขณะนี้บ้านพิพาทมีราคา ๓๐,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่ยอมรับเงินตามจำนวนที่จำเลยขอวาง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดบ้านพิพาท นำเงินที่ขายได้แบ่งกันตามส่วน ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าการบังคับคดีย่อมอาศัยคำพิพากษาเป็นหลักแห่งคำบังคับตามบทบัญญัติมาตรา ๒๗๑ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กรณีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งบ้านพิพาทออกเป็น ๔ ส่วน ให้โจทก์ได้ ๑ ส่วน หากการแบ่งไม่อาจกระทำได้ก็ให้เอาบ้านพิพาทออกขายทอดตลาด เอาเงินแบ่งกันตามส่วน ฉะนั้นจึงต้องดำเนินการบังคับคดีก่อนหลังกันไปตามลำดับ เมื่อการแบ่งมิอาจกระทำได้ก็ต้องขายทอดตลาดบ้านพิพาทตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจะขอวางเงิน ๒,๕๐๐ บาทแล้วขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการยึดบ้านพิพาทโจทก์ไม่ยินยอมด้วยไม่ได้
พิพากษายืน