คดีสืบเนื่องมาจาก โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองหากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้แก่โจทก์ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองแก่โจทก์ โดยผ่อนชำระให้เป็นรายเดือน หากผิดนัดชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ โจทก์จึงยื่นคำร้องลงวันที่ 2 สิงหาคม 2527 ขอให้ศาลชั้นต้นตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์จำนอง ที่ดินโฉนดเลขที่ 7962 ตำบลโคกขามอำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 5 ไร่ 36 ตารางวาพร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินโฉนดเลขที่ 2087 ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครเนื้อที่ประมาณ 284.6 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อขายทอดตลาด ต่อมาวันที่ 2 เมษายน 2528 ซึ่งเป็นวันขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีคงขายทอดตลาดได้เฉพาะที่ดินรายการที่ 1 โดยขายให้แก่นายพรหม ศิริลักษณ์ ผู้ให้ราคาสูงสุดในราคา 850,000 บาท ส่วนรายการที่ 2 โจทก์และจำเลยต่างคัดค้านศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินรายการที่ 2 ใหม่โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 5 เมษายน 2528 คัดค้านการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7962 รายการที่ 1 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในราคา 850,000 บาท แก่นายพรหม ศิริลักษณ์ว่าราคาขายทอดตลาดยังต่ำไป เพราะทรัพย์ดังกล่าวจะขายได้จริงสูงถึง4,233,000 บาท จึงขอให้ศาลประกาศขายทอดตลาดทรัพย์รายการดังกล่าวใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 7962 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ใหม่ นายพรหม ศิริลักษณ์ ผู้ร้องซึ่งซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดได้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์ เพิ่งมาว่ากล่าวในชั้นฎีกาจึงไม่รับฎีกาของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องต่อศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งว่า ผู้ร้องมีส่วนได้เสียเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาของศาล ให้รับฎีกาของผู้ร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมจำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน 4,000,000 บาท โดยนำที่ดิน 2 แปลง รวมทั้งแปลงพิพาทและเรือยนต์อีก 2 ลำ มาทำจำนองไว้เป็นประกัน โดยเฉพาะที่พิพาททำจำนองไว้ครั้งหลังสุดในวงเงิน2,500,000 บาท ปรากฏตามเอกสารท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ หมายเลข 2ต่อมาจำนวนเงินเบิกเงินเกินบัญชีก่อนฟ้องมียอดถึง 7,107,632.96 บาทที่พิพาทปรากฏว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ตีราคาในขณะยึดทรัพย์ไว้เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2527 เป็นเงิน 600,000 บาท ปัญหามีว่าเมื่อมีการขายทอดตลาดต่อมา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2528 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ขายไปในราคาเพียง 850,000 บาท จะมีราคาต่ำกว่าราคาที่เป็นจริงหรือไม่ ได้ความว่า ในวันขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว เฉพาะที่พิพาทมีผู้เข้าสู้ราคา 3 คน ผู้ร้องเป็นผู้ให้ราคาสูงสุดเป็นเงิน 850,000 บาท แต่การขายทรัพย์รายนี้ปรากฏว่า ทั้งโจทก์และจำเลยต่างแถลงว่าราคาที่ขายยังต่ำไป แม้ต่อมาจำเลยกลับแถลงไม่คัดค้าน แต่โจทก์ยังคงคัดค้านอยู่ และแม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ขายที่พิพาทได้เพราะเห็นว่า ราคาที่ขายสูงกว่าราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ในขณะทำการยึดทรัพย์ซึ่งมีราคา 600,000 บาท แต่การที่โจทก์ยอมรับจำนองที่พิพาทไว้จากจำเลยเป็นเงินจำนองถึง 2,500,000 บาท และจำเลยเองก็เคยทำหนังสือยอมรับกับโจทก์ ตามเอกสารท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ หมายเลข 1ว่า ที่พิพาทมีราคาในขณะที่จำเลยทำหนังสือถึงโจทก์ เมื่อวันที่12 ธันวาคม 2523 ว่ามีราคาไม่ต่ำกว่า 4 ล้านบาท ย่อมแสดงว่าราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่พิพาทไปในราคาเพียง850,000 บาทนั้น มีราคาต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ผู้ร้องคงอ้างแต่เพียงเอกสารหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินเพื่อใช้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของเจ้าพนักงานที่ดินว่า ราคาที่พิพาทมีเพียง 466,750 บาทเท่านั้น ย่อมฟังไม่ขึ้นเพราะการประเมินราคาของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นเพียงเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกค่าธรรมเนียมหาได้มีความหมายถึงว่าต้องเป็นราคาที่ดินที่แท้จริงไม่ ประกอบกับที่พิพาทที่ขายทอดตลาดนั้นยังมีอาคารและสิ่งปลูกสร้างรวมอยู่ด้วย ซึ่งลำพังแต่สิ่งปลูกสร้างเจ้าหน้าที่ของโจทก์ก็ตีราคาไว้ถึง 700,000 บาทแล้ว ปรากฏตามรายงานการตรวจสอบสภาพหลักทรัพย์ประกัน เอกสารหมายเลข 5ท้ายอุทธรณ์ของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 7962 ใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน