โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2531 เวลากลางคืนมีคนร้ายเข้าไปในห้องนอน อันเป็นเคหสถานของสิบตำรวจโทวัลลภนาคม่วง ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วลักเอาอาวุธปืนสั้นขนาด .357 จำนวน 1 กระบอก ราคา 18,000 บาท พร้อมกระสุนปืนขนาด .357 จำนวน 6 นัด ราคา 210 บาท ของนายวิเชียร ณ สงขลาซึ่งผู้เสียหายครอบครองและเก็บรักษาไว้ในเคหสถาน ดังกล่าวไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2531 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ในคดีอื่นพร้อมด้วยอาวุธปืนสั้นและกระสุนปืน จำนวน 5 นัด ราคา 175 บาทอันเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักเอาไปเป็นของกลาง ทั้งนี้โดยตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าว จำเลยได้ลักเอาทรัพย์ดังกล่าวของผู้เสียหายไปโดยทุจริตหรือมิฉะนั้นในระหว่างวันเวลาดังกล่าวถึงวันที่ 15 กันยายน 2531 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้รับของโจร โดยรับเอาอาวุธปืนสั้นและกระสุนปืนจำนวน 5 นัด ไว้ด้วยประการใด ๆ จากคนร้าย โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ เหตุรับของโจรเกิดที่ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี และตำบลหนองกี่อำเภอบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เกี่ยวพันกันขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 357 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11 กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคากระสุนปืน ขนาด .357 จำนวน 1 นัด ราคา 35 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคหนึ่ง จำคุก 2 ปี คำขอและข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2531 เวลากลางคืน อาวุธปืนและกระสุนปืนตามคำฟ้องของนายวิเชียร ณ สงขลา ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสิบตำรวจโทวัลลภ นาคม่วง ผู้เสียหาย ได้หายไปต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2531 เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอกบินทร์บุรีจับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยอาวุธปืน และกระสุนปืนที่หายไปดังกล่าว จำเลยต่อสู้ว่า ในวันเกิดเหตุได้มาเอาอาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวไปจากความครอบครองของผู้เสียหายจริงโดยถือวิสาสะ ในข้อนี้ได้ความจากผู้เสียหายว่า จำเลยและผู้เสียหายเป็นเพื่อนกัน สนิทสนมกันดี ต่างคนต่างเคยหยิบยืมอาวุธปืนกันใช้ถ้าไม่พบตัวก็ถือวิสาสะเอาไปใช้ก่อนแล้วค่อยบอกภายหลังตอนเอามาคืนเคยปฏิบัติกันเช่นนี้บ่อย ๆ จึงเห็นได้ว่า ในเบื้องต้นถ้าจำเลยเป็นผู้เอาอาวุธปืนและกระสุนปืนตามฟ้องไปจากผู้เสียหายก็เป็นกรณีที่จำเลยคงเอาไปโดยถือวิสาสะเอาไปใช้ก่อนตามที่เคยปฏิบัติกันมาตามที่จำเลยนำสืบและผู้เสียหายยอมรับ ส่วนข้อหารับของโจรนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์ก็ได้ความเพียงว่า จับอาวุธปืนและกระสุนปืนตามคำฟ้องได้จากจำเลยเท่านั้นพยานโจทก์ไม่ได้ความใด ๆ มากไปกว่านี้ศาลฎีกาเห็นว่าในคดีความผิดฐานรับของโจรนั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่า จำเลยรับทรัพย์ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ไม่ใช่ว่าเมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้นจำเลยก็ต้องนำสืบว่าตนไม่รู้ว่าเป็นของร้าย กรณีของจำเลยนี้ โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยรับอาวุธปืนและกระสุนปืนตามฟ้องไว้จากผู้อื่นโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดพยานโจทก์จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.