โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้พูดจาหลอกลวงโจทก์ว่าเป็นเจ้าของกระบือ และขายกระบือ ๓ ตัวเป็นเงิน ๖,๓๐๐ บาทให้โจทก์ โจทก์ได้ชำระเงินไปแล้ว ต่อมาปรากฎว่ากระบือ ๓ ตัวนั้นไม่ใช่ของจำเลย จึงขอเงินค่ากระบือคืน และขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีอาญาและให้จำเลยคืนเงินค่ากระบือจำนวน ๖,๓๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะคดีแพ่งว่า เงินค่ากระบือ ๖,๓๐๐ บาทนั้น ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติแล้ว ฟังได้ว่าจำเลยได้บอกขายกระบือให้โจทก์ โจทก์ไปดูกระบือและตกลงซื้อกระบือ ๓ ตัว ราคาตัว ๒,๑๐๐ บาท จำเลยขอเงินก่อน โจทก์ได้พาจำเลยไปเอาเงินที่บ้านโจทก์ จำเลยบอกว่าจะเอากระบือไปให้โจทก์ในวันรุ่งขึ้น แต่จำเลยก็ไม่นำไปให้ตามที่ตกลง โจทก์ไปทวงถาม จำเลยกลับบอกว่าได้ขายให้คนอื่นไปแล้ว โจทก์ขอเงินคืน จำเลยก็ขอผัดเรื่อยมา การตกลงดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ จึงมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า โจทก์จะฟ้องเรียกเงิน ๖,๓๐๐ บาท คืนได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า มูลกรณีเรื่องนี้เข้าลักษณะสัญญาจะซื้อขาย เมื่อโจทก์ได้ชำระเงินค่ากระบือ ๖,๓๐๐ บาทให้จำเลยรับไปแล้ว ถือได้ว่าได้มีการชำระหนี้แล้ว โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ จำเลยต้องรับผิดคืนเงิน ๖,๓๐๐ บาทให้โจทก์ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน