โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดโต้เป็นอาวุธขู่เข็ญเด็กหญิงพรรณีอายุ 13 ปี 3 เดือน ไม่ให้ขัดขืนและข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงพรรณีจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แล้วจำเลยใช้มีดโต้ดังกล่าวฟันเด็กหญิงพรรณีจนถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 288, 289, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา276, 289(7), 91 ลดโทษและรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว
โจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีพยาน 1 ปาก คือนายสน เห็นเหตุการณ์ขณะชายคนหนึ่งวิ่งไล่เด็กผู้หญิงไปและในมือข้างขวาของชายผู้นั้นมีวัตถุยาวประมาณ 1 ศอกเศษ พยานได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องว่า 'กูจะบอกพ่อกู' พยานยืนดูอยู่ห่างจึงไม่สามารถจำได้ว่าเป็นใคร แต่เวลาที่พยานว่าเห็นเหตุการณ์นั้นตรงกับเวลาที่เกิดเหตุ และชายที่วิ่งไล่เด็กหญิงไปก็สวมเสื้อผ้าเช่นเดียวกับที่พยานพบจำเลยหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อย เมื่อนำไปพิจารณาประกอบกับรายละเอียดในคำรับสารภาพของจำเลยแล้วข้อเท็จจริงรับกันฟังได้ว่า ชายที่กำลังถือวัตถุในมือขวาวิ่งไล่เด็กผู้หญิงไปนั้นก็คือจำเลยซึ่งกำลังใช้มีดโต้ไล่ฟันผู้ตาย เนื่องจากผู้ตายจะนำเรื่องที่ถูกจำเลยข่มขืนไปบอกให้บิดาทราบ และถ้อยคำที่พยานได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องว่า'กูจะบอกพ่อกู' ก็ตรงกับข้อเท็จจริงตามคำรับสารภาพของจำเลยและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพอดี บริเวณที่เกิดเหตุอยู่ห่างหมู่บ้านถึง 7 กิโลเมตรมีสภาพเป็นภูเขาและมีป่าล้อมรอบสลับกับทุ่งนา ไม่ค่อยมีบุคคลสัญจรผ่านไปมา เป็นสถานที่เปลี่ยวจึงไม่มีเหตุที่จะชวนให้สงสัยเป็นอย่างอื่นว่า บุคคลทั้งสองที่พยานเห็นกำลังวิ่งไล่กันไปนั้น อาจจะเป็นผู้อื่นที่มิใช่จำเลย และเมื่อพยานไปดูศพผู้ตาย ก็พบจำเลยยืนอยู่ก่อนแล้วตรงบริเวณใกล้กับศพนั่นเอง หลังจากจำเลยถูกจับกุมและรับสารภาพแล้วขณะจำเลยแสดงท่าให้เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพประกอบคำรับสารภาพ ก็ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องคอยถามจำเลยทุกขั้นตอนในการทำแผนประทุษกรรม ในบางครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้แสดงแทนผู้ตายทำไม่ถูกจำเลยก็บอกให้ทำใหม่ให้ถูกต้องตรงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จึงเป็นเหตุผลแสดงว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ มิได้มีการขู่บังคับแต่ประการใด พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวจึงเพียงพอที่จะฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.