โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๓๐ ก.ค.๒๔๙๘ เวลากลางวัน จำเลยบังอาจมีฝิ่น มูลฝิ่นและมีกล้องสูบฝิ่นสูบฝิ่นนอกร้านโดยมิได้รับอนุญาต จึงขอให้ศาลลงโทษ
ศาลชั้นต้นสืบพยานประกอบคำรับสารภาพแล้วตัดสินว่า จำเลยมีผิดตาม พ.ร.บ.ผิ่น พ.ศ.๒๔๗๒ ม.๘,๑๔,๑๕,๕๓,๖๖ พ.ร.บ.ฝิ่น พ.ศ.๒๔๙๔ ม.๖,๗ วางโทษฐานมีฝิ่นและมูลฝิ่น จำคุก ๒ เดือน ปรับ ๗๐๐ บาท ฐานมีอุปกรณ์สูบฝิ่น ฯ ปรับ ๑๐๐ บาท ลดเพราะรับสารภาพกึ่งหนึ่งคงจำคุก ๑ เดือน ปรับ ๔๐๐ บาท โทษจำให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๑ ปี คงปรับสถานเดียว ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลลงโทษต่ำกว่าอัตราในกฎหมายในฐานะมีฝิ่นและมูลฝิ่น
ศาลอุทธรณ์ว่าฝิ่นตามฟ้องราคา ๑๓.๕๐ บาท มูลฝิ่นราคา ๒๒๕ บาท ดังนั้นในฐานมีฝิ่น ศาลจะกำหนดโทษจำเลยจำคุกต่ำกว่า ๖ เดือน และปรับต่ำกว่า ๕๐๐ บาทไม่ได้ ฉะนั้นกำหนดโทษที่ศาลชั้นต้นลงไม่ถูกต้องจึงพิพากษาแก้ให้รวมลงโทษจำคุกจำเลย ๗ เดือน ลดฐานรับสารภาพกึ่งคงจำคุก ๓ เดือน ๑๕ วัน การรอการลงโทษและนอกนั้นคงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลเดิม
โจทก์ฎีกาว่าตามกฎหมายฝิ่นต้องลงโทษปรับด้วย หรือเป็นดุลยพินิจของศาลที่จะงดปรับเสียก็ได้ ศาลควรใช้ดุลยพินิจให้ปรับด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๒๓ บัญญัติว่า บรรดาโทษที่กำหนดทั้งจำคุกและปรับเป็นสองสถาน ให้ศาลวินิจฉัยตามเหตุการณ์ ถ้าเห็นสมควรจะให้ยกโทษปรับเสียก็ได้ และโดยกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๑ ให้นำมาตรา ๒๓ มาใช้กับ พ.ร.บ.ฝิ่นด้วยได้ ส่วนคำว่าต้องปรับด้วยตาม พ.ร.บ.ฝิ่นนั้นหมายความเฉพาะที่ศาลพิพากษาปรับแล้วจึงจะต้องปรับให้ได้จำนวนเท่าที่กฎหมายฝิ่นกำหนดไว้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกสถานเดียวนั้นชอบแล้ว สำหรับข้อที่โจทก์ฎีกาให้ศาลใช้ดุลยพินิจปรับนั้นเป็นข้อเท็จจริงฎีกาไม่ได้