คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน 52,084,923 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน47,928,897 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ชำระเงินจำนวน 46,592,791 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปีของต้นเงิน 42,875,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ชำระเงินจำนวน 5,492,132 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 5,053,897 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 และที่ 6 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางสมพร ภูติยานันต์ และนางวันเพ็ญ เอี่ยมจ้อย เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยทั้งหก
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้ว ไม่มีเหตุที่จะเรียกบุคคลทั้งสองเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยทั้งหก จึงมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เรียกนางสมพร ภูติยานันต์ และนางวันเพ็ญ เอี่ยมจ้อย เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยทั้งหกนั้นเห็นว่า คำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ขอให้เรียกบุคคลทั้งสองดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยทั้งหกเป็นเพียงคำร้องที่ยื่นเพื่อขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีมิใช่เพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความแต่อย่างใด จึงไม่ใช่คำคู่ความคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องนี้จึงมิใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความแต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย"
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2