โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดแต่จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์โดยมิได้นำค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหารและค่าซักรีดซึ่งจำเลยจ่ายให้โจทก์เมื่อโจทก์เดินทางไปทำหน้าที่ในต่างจังหวัดประมาณเดือนละ 20 วันอันถือว่าเป็นค่าจ้างมารวมคำนวณด้วยขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยส่วนที่ยังขาดอีก 48,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าเงินที่โจทก์อ้างว่าเป็นค่าจ้างนั้นจำเลยจ่ายให้โจทก์เมื่อโจทก์เดินทางไปต่างจังหวัดและมิใช่ส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่จะนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชยเพราะเป็นเงินที่โจทก์ต้องใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดแล้วจำเลยจ่ายคืนให้แก่โจทก์ ทั้งมิได้มีการกำหนดในการทำงานในต่างจังหวัดเดือนละ 20 วันตามฟ้องขอให้ยกฟ้อง
วันนัดสืบพยานโจทก์โจทก์จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงกันบางประการแล้วขอให้ศาลวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ได้รับกันโดยไม่ขอสืบพยาน
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหารและค่าซักรีดตามฟ้องมิใช่เป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานอันเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ฯ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าข้อเท็จจริงได้ความตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่าการที่โจทก์จะต้องเดินทางไปปฏิบัติงานในต่างจังหวัดนั้นโจทก์จะต้องทำประมาณการรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อขออนุมัติต่อจำเลยก่อนเมื่อได้รับอนุมัติแล้วโจทก์จึงจะเดินทางไปได้ลักษณะการทำงานของโจทก์ในต่างจังหวัดจึงมิได้มีการกำหนดให้โจทก์ต้องปฏิบัติไว้แน่นอน ศาลฎีกาเห็นว่าค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหารและค่าซักรีดเหล่านี้โจทก์มิได้รับจากจำเลยเป็นประจำ โจทก์จะได้รับก็ต่อเมื่อจำเลยได้อนุมัติให้โจทก์ไปปฏิบัติงานในต่างจังหวัดและโจทก์มิได้ไปปฏิบัติงานในต่างจังหวัดเป็นประจำหรือแน่นอนตายตัวทุกเดือนแต่อย่างใด ดังนั้นเงินทั้ง 4 ประเภทนี้จึงมิใช่เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติตามความหมายของคำว่าค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 2 โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเงินจำนวนดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชยได้
พิพากษายืน.