โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยตกลงกันเป็นหนังสือต่อหน้าศาลในคดีหมายเลขแดงที่ 51/2525 ของศาลจังหวัดสิงห์บุรีให้โจทก์ไปถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายประจวบ พิมภู และไม่ขอรับมรดกในคดีหมายเลขแดงที่ 122/2524 ที่ศาลจังหวัดนครพนม แล้วจำเลยที่ 1ยอมใช้เงินให้โจทก์ 150,000 บาท ซึ่งจะชำระเป็นเช็คที่จำเลยที่ 2เป็นผู้สลักหลัง โดยจำเลยที่ 1 จะเอาเช็คมาวางไว้ที่ศาล โจทก์ถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกตามที่ตกลงแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมใช้เงินให้โจทก์และไม่เอาเช็คไปวางศาลทำให้โจทก์เสียหายและหมดสิทธิรับมรดกขอให้จำเลยเอาเช็คไปวางศาลตามสัญญาหรือให้จำเลยร่วมกันใช้เงินให้โจทก์ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและดอกเบี้ยก่อนฟ้อง 300 บาท
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คำร้องของจำเลยที่ 1ที่ถอนคดีขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเพียงคำมั่นจะให้ทรัพย์สินไม่ทำให้ข้อพิพาทระงับไป จำเลยที่ 2ไม่ได้ลงชื่อในคำร้องไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ดจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์150,300 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาแรกมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ในปัญหาดังกล่าว โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม2525 จำเลยทั้งสองตกลงร่วมกันจะชดใช้เงินให้โจทก์เป็นเงิน150,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 จะออกเช็คลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2525สั่งจ่ายเงินจำนวน 150,000 บาท จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ค้ำประกันและสลักหลังเช็คนั้นและจำนำเช็คนั้นมาวางศาลในวันที่11 มีนาคม 2525 เพื่อให้โจทก์ไปถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายประจวบ พิมภู ตามคำสั่งศาลจังหวัดนครพนมคดีหมายเลขแดงที่ 122/2524 ทั้งให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกร้องเอาหนี้สินและรับมรดกจากกองมรดกของนายประจวบ พิมภู ข้อตกลงดังกล่าวได้ทำเป็นหนังสือในคดีหมายเลขแดงที่ 51/2525 ของศาลจังหวัดสิงห์บุรี และบรรยายฟ้องต่อไปว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาข้อตกลงดังกล่าวแล้วส่วนจำเลยทั้งสองไม่นำเช็คตามข้อตกลงมาวางศาลตามเวลาที่ตกลงกันทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้ทวงถามแล้วอันเป็นข้อความแสดงสภาพแห่งข้อหาส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 3 ต่อไปว่าพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำละเมิดและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น เมื่อพิจารณาคำฟ้องรวมกันทั้งฉบับแล้วเห็นว่าคำว่า "ละเมิด"ที่โจทก์กล่าวนั้นเป็นความเข้าใจของโจทก์เองว่าการที่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้ต่อกันเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการ"ละเมิด" อันเป็นความเข้าใจข้อกฎหมายผิด และข้อความบรรยายฟ้องต่อไปก็แสดงถึงผลความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาดังคำบรรยายฟ้องในข้อ 1 และ 2 อันเป็นหลักแห่งข้อหาที่โจทก์ต้องฟ้องจำเลย ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาหรือใช้เงินเท่าจำนวนตามสัญญาและค่าเสียหายที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นคำบรรยายฟ้องแสดงอย่างแจ้งชัดว่าฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยเหตุสัญญาที่ทำไว้ต่อกันมิได้ฟ้องในฐานะอื่น การกระทำทั้งหลายของจำเลยทั้งสองตามคำบรรยายฟ้องมิได้ขัดแย้งกันอันจะทำให้เกิดสับสนว่าเป็นเรื่องผิดสัญญาหรือละเมิดตามกฎหมาย เป็นเพียงโจทก์ใช้ถ้อยคำผิดตามความเข้าใจของโจทก์เองเท่านั้นเห็นว่า เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นอันเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่าคำร้องของจำเลยที่ 1... ที่ยื่นต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรีในคดีหมายเลขแดงที่ 51/2525 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่...ฯลฯ.. คำร้องดังกล่าวมีความว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้แล้ว โดยจำเลยที่ 1 ยอมจ่ายเงินให้โจทก์ 150,000บาท เมื่อโจทก์ได้รับเงินแล้วโจทก์ไม่ติดใจเรียกหนี้สินหรือรับผิดหนี้สินจากองมรดกหรือขอรับมรดกจากจำเลยที่ 1 แต่ประการใดเมื่อโจทก์ยอมรับข้อเสนอดังกล่าวของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1จึงขอถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย โดยโจทก์จะไปจัดการขอถอนคำสั่งศาลที่ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ศาลจังหวัดนครพนมและนำหลักฐานการขอถอนคำสั่งศาลมาแสดงต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อขอรับเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่าย โดยจำเลยที่ 1 จะนำเช็คมาวางศาลวันที่ 11 มีนาคม 2525 ซึ่งเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงิน 150,000 บาท นี้ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน2525 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังค้ำประกันร่วมรับผิดด้วยแล้วจำเลยที่ 1 ลงชื่อในคำร้องนี้ เห็นว่า คำร้องดังกล่าวในเบื้องแรกเป็นข้อเสนอของจำเลยที่ 1 จริง แต่เมื่อโจทก์รับสำเนาคำร้องนี้แล้วและศาลสอบถามโจทก์อันเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175(1) โจทก์ไม่คัดค้านการถอนฟ้องของจำเลยที่ 1 และลงชื่อไว้ ซึ่งข้อความในคำร้องก็มีว่าจำเลยที่ 1 และโจทก์ตกลงกันได้เท่ากับโจทก์สนองรับข้อเสนอของจำเลยที่ 1 แล้ว ข้อความในคำร้องนั้นจึงเป็นสัญญาที่ผูกพันโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติตามสัญญานั้นและเห็นว่าสัญญานี้คู่สัญญาประสงค์ระงับข้อพิพาทในคดีหมายเลขแดงที่ 51/2525 ของศาลจังหวัดสิงห์บุรี ที่โจทก์ตั้งข้อพิพาทกับจำเลยที่ 1 ว่าไม่รับรองว่าจำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายโดยอ้างว่าโจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายและศาลจัหวัดนครพนมได้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้วและโจทก์ยังยอมผ่อนผันให้จำเลยที่ 1 โยสละสิทธิเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายรวมตลอดทั้งระงับข้อพิพาทที่จะมีขึ้นให้เสร็จไป คือโจทก์จะไม่รับมรดกของผู้ตายและเรียกหนี้สินจากกองมรดกของผู้ตายด้วยสัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 ซึ่งโจทก์จำเลยที่ 1 ลงชื่อในสัญญานั้นแล้ว และคู่ความรับกันต่อไปดังปรากฎตามรายงานพิจารณาฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2525ว่าโจทก์ได้ร้องถอนตนจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายประจวบ พิมภูผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาส่วนของตนคือออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 150,000 บาท ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2525มาวางศาล แต่จำเลยที่ 1 ไม่นำเช็คมาวางศาล โจตทก์ย่อมฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้...
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์2,000 บาท".