โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้และจำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระเงินกู้และดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ โจทก์เอาแบบพิมพ์สัญญากู้มาให้จำเลยที่ 1 เซ็นชื่อในช่องผู้กู้และให้จำเลยที่ 2 เซ็นชื่อในช่องผู้ค้ำประกัน แล้วโจทก์กับพวกสมคบกันปลอมสัญญามาฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นให้โจทก์นำสืบก่อน จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานจำเลยก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ 1 วันอ้างว่าเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และทนายจำเลยเพิ่งรับเป็นทนายจำเลยวันนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยมีเวลาที่จะขวนขวายหาทนายที่อ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 สั่งไม่รับสืบพยานโจทก์แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีตามฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เห็นสมควรรับบัญชีระบุพยานของจำเลยไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 1 แล้วดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ในปัญหาข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่า เมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานจำเลยแล้ว จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) คู่ความจะต้องโต้แย้งคำสั่งไว้เสียก่อน จึงจะอุทธรณ์คำสั่งได้ในภายหลัง แต่ศาลต้องให้คู่ความมีโอกาสและมีเวลาพอสมควรที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานจำเลย และนัดตัดสินในวันรุ่งขึ้น ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยไม่มีเวลาที่จะโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น แม้จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นได้
ในปัญหาข้อฎีกาโจทก์ที่ว่าจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 โดยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดสืบพยานสามวัน จึงไม่ควรรับบัญชีระบุพยานของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จริงอยู่แม้จำเลยที่ 1 จะยื่นบัญชีระบุพยานฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคแรก โดยไม่ยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน แต่ตามวรรค 3 แห่งมาตรา 88 นี้ ก็ได้บัญญัติความว่า ถ้าระยะเวลาที่กำหนดในวรรคแรกได้สิ้นสุดลงแล้ว คู่ความฝ่ายใดมีเหตุอันสมควร แสดงว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใดคู่ความฝ่ายนั้นชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษาคดีขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้น ถ้าศาลเห็นว่า เพื่อให้การชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานเช่นนั้น ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำขอ ปัญหาจึงมีว่า เหตุที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอระบุพยานมาโดยเหตุที่ไม่อาจยื่นได้ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันตามที่จำเลยอ้างมาในคำร้องนั้นควรอนุญาตให้จำเลยตามคำขอหรือไม่ คดีได้ความว่าจำเลยไม่มีทนายและที่จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานโจทก์หนึ่งวันนั้นนายสิงห์ เยาวศรีสุวรรณ ทนายจำเลยซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นทนายจำเลยในวันยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานอ้างเหตุมาว่าเพิ่งได้รับเป็นทนายจำเลยในวันที่ยื่นคำร้องนั้น หลักฐานในสำนวนก็เป็นความจริงดังที่ทนายจำเลยอ้างมาในคำร้อง เห็นได้ว่ากรณีเช่นนี้ไม่เป็นการทำให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใด หากโจทก์เห็นว่าจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเช่นนี้เพื่อเอาเปรียบโจทก์และโจทก์จะเสียหาย ก็มีทางจะแก้ไขได้โดยขอเลื่อนคดีไป หรือขอระบุพยานเพิ่มเติมเข้ามาอีก ซึ่งโจทก์ก็ย่อมจะทำได้ ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นการสมควรที่ศาลจะได้พิจารณาฟังความทั้งสองฝ่าย เพื่อชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นเจตนารมณ์อันแท้จริงของกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์เห็นควรให้รับบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาต่อไปนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน