คดี ๒ สำนวนศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว นางเปียจำเลยกับนายเส็งสมรสกันโดยต่างมีสินเดิม เกิดบุตร ๔ คน คือ โจทก์ ที่ ๑- ที่ ๔ จำเลยที่ ๑- ที่ ๓ กับ นางทองเปลว และนายประสิทธิ มีสินสมรสคือ ที่ดินโฉนดที่ ๑๓๗๐ ราคา ๒๑๑,๕๐๐ บาท กับบ้านเลขที่ ๓ ราคา ๓๐,๐๐๐ บาท และเลขที่ ๓/๓ ราคา ๒๐,๐๐๐ บาท นางเส็งตาย โดยมิได้ทำพินัยกรรม สินสมรสจึงตกเป็นมรดก ๒ ใน ๓ ทายาททั้ง ๑๐ คน (คือ ทั้งนายเปีย จำเลยด้วย) ได้ ครอบครองมรดกร่วมกันมาโดยยังมิได้แบ่งกัน ต่อมานางเปียยื่นคำร้องขอรับมรดกแต่ผู้เดียว เจ้าพนักงานจดทะเบียนโอนให้ แล้วนางเปีย ได้จดทะเบียนยกเรือน และที่ดินมรดกนี้ให้แก่จำเลยที่ ๑,๒,๓ โดยไม่สุจริต ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมจดทะเบียนรับมรดกของนายเส็ง เพิกถอนสัญญาให้ทึ่ดินและสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เป็นมรดก ของนายเส็ง ให้จำเลยแบ่งที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เป็นมรดกของนายเส็งให้โจกท์ ๔ คน ๆ ละ ๒๘ ตารางวา กับสิ่งปลูกสร้างตามส่วน หากขัดข้องก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย หรือมิฉะนั้นให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ทั้ง ๔ คน ๆ ละ ๑๗,๔๓๓.๓๓ บาท
จำเลยให้การต่อสู้ว่า สินสมรสคงมีแต่ที่ดินโฉนดที่ ๑๓๗๐ กับเรือนเลขที่ ๓ รวม ราคา ๒๔๑,๕๐๐ บาท หักเป็นสินเดิมนางเปียแล้ว เหลือสินสมรสเป็นของนายเส็ง ๘๐,๕๐๐ บาท หักค่าทำศพแล้วส่วนของนายเส็งเหลือเป็นมรดก ๔๗,๕๐๐ บาท โจทก์จำเลยและบรรดาบุตรธิดายอมให้นางเปียรับเอามรดกคนเดียว และครอบครองมากว่า ๒ ปี โจทก์ที่ ๑,๔ ไม่เคยเกี่ยวข้องส่วนโจทก์ที่ ๒,๓ ก็อยู่ในที่มรดกโดยอาศัยสิทธินายเปีย จึงฟ้องไม่ได้เพราะขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ ๒ ขอถอนฟ้องคดีของตน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เอาที่ดินโฉ่นดที่ ๑๓++ กับบ้านเลขที่ ๓ แบ่งเป็น ๓ ส่วน เป็นมรดกของนายเส็ง ๒ ส่วน มรดกของนายเส็งนี้ให้แบ่งเป็น ๑๐ ส่วน ให้โจทก์ที่ ๑,๓,๔ ได้คนละ ๑ ส่วน ถ้าแบ่งไม่ตกลงก็ให้ประมูลกันเอง หรือขายทอดตลาด
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า
ข้อที่ว่า โจทก์ที่ ๓ อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินรายพิพาทก่อนนายเส็งตาย เมื่อนายเส็งตายแล้ว โจทก์ที่ ๓ มิได้แสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะการอาศัยมาเป็นสิทธิครอบครองทรัพย์มรดก แสดงว่าโจทก์ที่ ๓ มิได้ครอบครองทรัพย์มรดกเพื่อตนนั้น บทบัญญัติการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๑ นั้น เป็นบทบัญญัติเพื่อให้ผู้ยึดถือทรัพย์สินได้ไปซึ่งทรัพย์สิทธิที่เรียกว่าสิทธิครอบครอง โดยการยึดถือครอบครองเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของเดิมผู้ทรงสิทธิแต่ในกรณีนี้ โจทก์ที่ ๓ ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (ทรัพย์มรดกของนายเส็ง) ที่ตนยึดถือครอบครองนั้น โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายมรดกนับแต่ขณะนายเส็งตายนั้นแล้ว โดยมิต้องอาศัยการยึดถือครอบครองนั้น โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายมรดกนับแต่ขณะนายเส็งตายนั้นแล้ว โดยมิต้องอาศัยการยึดถือครอบครองเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของเดิมแต่อย่างใด เป็นการอยู่การยึดถือครอบครองของเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยตนเองเพื่อตนเอง โดยอำนาจกฎหมาย หาต้องอาศัยการบอกกล่าวตามมาตรา ๑๓๘๑ ไม่ การอยู่การยึดถือครอบครองของโจทก์ที่ ๓ จึงได้ชื่อว่าเป็นการอยู่การครอบครองของทายาทในทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งกันตามมาตรา ๑๗๔๔ แล้ว
ข้อฎีกาที่ว่า คำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ทั้ง ๔ คน คนละ ๑๗,๔๐๓.๓๒ บาท แต่ศาลล่างมิได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์นั้น เห็นว่า คำฟ้องขอบังคับใช้แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ตามส่วนด้วย ไม่ใช่ขอให้จำเลยใช้เงินแต่อย่างเดียว ส่วนจำนวนเงินนั้นก็ปรากฎว่าเป็นเพียงการประมาณ และโจทก์จำเลยมิได้อุทธรณ์ฎีกากันในข้อส่วนแบ่ง จำเลยคงฎีกาแต่ว่าศาลมิได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงินซึ่งเป็นการง่าย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขายโดยประมูลกันหรือทอดตลาดเรื่องนี้เห็นได้ว่าศาลล่างพิพากษาบังคับการแบ่งทรัพย์สินตามบทบัญญัติว่าด้วยกรรมสิทธิ์รวม ซึ่งใช้แทนการแสดงเจตนาตกลงของคู่กรณีในเมื่อเจ้าของรายทั้งหลายมิได้ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไร ไม่มีเหตุผลแก้ไขคำพิพากษาศาลล่าง
พิพากษายืน