โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงพานางสมจิตร ศรีมานพหรือรูปหุ่น อายุ 21 ปี และนางสาววรรณา สายความสุขอายุ 16 ปี ไปเพื่อการอนาจาร และเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นได้มอบหญิงทั้งสองไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการสถานการค้าประเวณี เพื่อให้ทำการค้าประเวณี จำเลยที่ 1 รับหญิงทั้งสองไว้เพื่อการนั้น ทั้งยังได้บังคับให้หญิงทั้งสองค้าประเวณีและหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ด้วย อนึ่ง จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกิจการและเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณีโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282, 283, 284, 310,83, 91 และพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9 จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282, 283, 284, 310, 83 และพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ. 2503 มาตรา 9 ให้ลงโทษตามมาตรา 283 ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91 ให้จำคุก 4 ปี จำเลยรับว่าเป็นเจ้าสำนักค้าประเวณีเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 คงจำคุก3 ปี (คำนวณคลาดเคลื่อน) จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282, 83 จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9 ฐานเดียว จำคุก 6 เดือนลดโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน จำเลยที่ 1 ต้องขังมาพอแก่โทษแล้วให้ปล่อยตัวไป โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการสถานการค้าประเวณี รับตัวนางสมจิตรผู้เสียหายไว้แล้วบังคับให้ทำการค้าประเวณี ครั้นนางสมจิตรไม่ยินยอม ก็ถูกผลักเข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่ เมื่อขัดขืนต่อไปอีก ก็ถูกจำเลยที่ 1 ตบหน้าและบางครั้งเมื่อนางสมจิตรถูกชายดึงเข้าไปในห้องแล้ว จำเลยที่ 1ก็ใส่กุญแจห้องข้างนอก และคอยเฝ้าอยู่ ทั้งยังตะโกนบอกชายที่มาเที่ยวว่าให้ตบตีได้ถ้านางสมจิตรไม่ยอม จึงวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ เป็นการกระทำเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 แล้ว แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 282 เพราะนางสมจิตรอายุเกิน 18 ปี และไม่เป็นความผิดตามมาตรา284 เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อตนเองหรือผู้ร่วมกระทำความผิดกับตน และวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 รับตัวนางสาววรรณาผู้เสียหายอายุ 16 ปี ซึ่งถูกหลอกลวงมาไว้เป็นหญิงโสเภณีในสำนักของตนได้ชื่อว่าเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของชายที่มาเที่ยว และจำเลยที่ 1ได้เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจาร ซึ่งนางสาววรรณา อันเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 แล้ว โดยไม่จำต้องใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย หรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมประการใดอีก ทั้งไม่จำต้องมีผู้อื่นมาสำเร็จความใคร่กับนางสาววรรณาเสียก่อน การที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจประการอื่น มีผลเพียงทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 ต่อนางสาววรรณาไม่เป็นความผิดตามมาตรา 284 เท่านั้น และแม้เมื่อนางสาววรรณาไม่ยินยอมจำเลยที่ 1 ได้ไล่ให้ไปเก็บชามล้างชามหลังบ้าน ไม่ได้ดำเนินการเช่นที่กระทำแก่นางสมจิตรผู้เสียหาย ก็ไม่ทำให้ความผิดตามมาตรา 282ซึ่งสำเร็จแล้ว เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น นอกจากนั้น การที่จำเลยที่ 1 กระทำแก่นางสมจิตรผู้เสียหายโดยผลักให้เข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่ในเมื่อนางสมจิตรไม่ยินยอมและบางครั้งปิดประตูใส่กุญแจข้างนอกขังนางสมจิตรไว้กับชายที่มาเที่ยวแล้วคอยเฝ้าอยู่ ย่อมเป็นการหน่วงเหนี่ยวและกักขังนางสมจิตรให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย นับเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 แล้ว พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา282, 283 และ 310 ด้วย แต่โดยที่ความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 เป็นกรรมหนึ่ง และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282, 283, 310 เป็นอีกกรรมหนึ่ง อันเป็นความผิดหลายบท สมควรลงโทษเฉพาะบางกระทงที่หนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 มีกำหนด4 ปี มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงให้จำคุกมีกำหนด 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.