โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีกัญชาแห้ง ๗๑ มัด หนัก ๑,๓๑๒.๕๐ กรัม ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๖, ๗, ๘, ๒๖, ๑๐๒ ให้จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน และปรับ ๔,๐๐๐ บาท จำเลยรับสารภาพ กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ จำคุก ๙ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอไว้ ๑ ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ริบของกลาง และให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก ๒ เดือนต่อครั้งมีกำหนด ๑ ปี
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยสถานหนักโดยไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ลงโทษปรับ ไม่รอการลงโทษและงดรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย ๙ เดือน และปรับด้วยแต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๑ ปี ทั้งกำหนดเงื่อนไขคุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด ๑ ปี แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษซึ่งถือได้ว่าเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่ก็ลงโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ ฎีกาของจำเลยเป็นการฎีกาดุลพินิจในการลงโทษของศาลอันเป็นข้อเท็จจริงย่อมต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย