ได้ความว่า จำเลยขายที่รายพิพาทซึ่งเป็นที่นามือเปล่าให้โจทก์โดยทำหนังสือกันเอง โจทก์ได้เข้าครอบครองมา ๑๐ ปีเศษ ต่อมาจำเลยได้ไปร้องต่อคณะกรรมการอำเภอขอให้ประกาศรังวัดที่ราบนี้เพื่อขายให้แก่นายแก้ว พอโจทก์ทราบก็ได้ไปร้องคัดค้าน ทางอำเภอสั่งให้โจทก์ฟ้องภายใน ๑๕ วัน โจทก์ก็ฟ้องภายในกำหนดนี้ แต่มิได้แจ้งให้กรมการอำเภอทราบ พอครบกำหนด ๑๕ วัน กรมการอำเภอก็ทำสัญญาขายตามที่จำเลยร้องขอ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมและห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องในที่พิพาทแปลงนี้
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาพิจารณาฉะเพาะข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นส่งรับจำเลยคัดค้านว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะเหตุที่ในฟ้องได้อ้างสัญญาซื้อขาย แต่มิได้คัดสำเนาสัญญาให้จำเลยพร้อมกับสำเนาฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อคำฟ้องนั้นแจ้งชัดสมบูรณ์ตามวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ เพียงแต่มิได้ส่งสำเนาเอกสารตามที่อ้างให้อีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ก็หาทำให้ฟ้องฉะบับนั้นกลายเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ ส่วนข้อที่จำเลยคัดค้านว่า โจทก์ไม่มีสิทธิ์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายรายนี้ โดยอ้างว่า นายแก้วผู้ซื้อได้กระทำโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตตาม ป.ม.แพ่งฯ ม. ๑๓๐๐ นั้น ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาแล้วว่า เมื่อนายแก้วจะทำการซื้อที่รายนี้ นายแก้วได้ทราบการคัดค้านของโจทก์แล้ว จึงฟังไม่ได้ว่า นายแก้วได้กระทำการโดยสุจริต ข้อคัดค้านของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาพิพากษายืน