โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจมีไม้สักแปรรูปอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2505 จำนวน 88 บานซึ่งแปรรูปเป็นบานประตูหน้าต่างแล้วไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การว่า ไม้สักของกลางเป็นเครื่องใช้สำหรับปลูกสร้าง มิใช่เป็นไม้แปรรูปตามพระราชบัญญัติป่าไม้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ไม้สักบ้านประตูหน้าต่างของกลางเป็นไม้แปรรูป และจำเลยมิได้พิสูจน์ให้เห็นว่าไม้สักของกลางที่จำเลยมีไว้ในความครอบครองมีสภาพเป็นบานประตูหน้าต่างตลอดมาไม่น้อยกว่า 5 ปี
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริง - ตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า ไม้สักของกลางเป็นบานประตูหน้าต่างสำเร็จรูป สามารถนำไปติดตั้งกับอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างได้ทันที โดยไสกบตบแต่งเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับวงกบประตูหรือหน้าต่างสภาพเป็นของใหม่ยังไม่เคยใช้มาก่อน โดยสภาพทำไว้แน่นและวินิจฉัยว่าเมื่อตามสภาพเป็นบานประตูหน้าต่างสำเร็จรูป ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาว่าจะนำไปใช้เป็นบานประตูหน้าต่างโดยเฉพาะ ฉะนั้น จึงมีสภาพเป็นเครื่องใช้สำหรับติดตั้งกับอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างซึ่งมิใช่ไม้แปรรูปตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2503 มาตรา 4 ฯลฯ เมื่อฟังว่าไม้สักของกลางมิใช่ไม้แปรรูป และจำเลยมีไว้ในความครอบครองไม่มีความผิดตามกฎหมายดังกล่าว จำเลยจึงไม่ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าไม้สักของกลางที่จำเลยมีไว้ในความครอบครองมีสภาพเป็นบานประตูหน้าต่างอยู่ตลอดเวลามาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี จำเลยจะต้องพิสูจน์ก็ต่อเมื่อเป็นไม้ที่เคยอยู่ในสภาพเป็นสิ่งปลูกสร้างหรือเคยอยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้มาก่อนแล้วเท่านั้น
พิพากษายืน