กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ขอยึดทรัพย์จำเลยที่ ๑ ไว้ก่อนคำพิพากษา และได้นำยึดเรือน ห้องแถวและโรงรถ รวม ๗ หลัง โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องว่าโรงเรือนเหล่านี้ ราคา ๔๘,๕๐๐ บาท ปลูกอยู่ในที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ขอให้ถอนการยึด
โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องกับจำเลยที่ ๑ สบคบกันโดยจำเลยที่ ๑ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้ผู้ร้องโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบโดยไม่สุจริต
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสอง ให้ถอนการยึดทรัพย์พิพาท โดยฟังว่าจำเลยที่ ๑ กับผู้ร้องได้มีการซื้อขายที่ดินพร้อมกับสิ่งปลูกสร้างกันโดยสุจริต
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ฝ่ายผู้ร้องไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ไว้ก่อน ผู้ร้องนำพยานเข้าสืบ รับฟังไม่ได้ เพราะไม่ชอบด้วย ป.วิ.แพ่ง. ม.๘๙ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า รูปเรื่องไม่เข้าตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง เพราะการนำสืบของโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนกับของผู้ร้องต่างประเด็นกัน โจทก็นำสืบว่าได้พบผู้ร้องและพูดจากันที่ทางเท้าข้างที่ทำการเทศบาลแต่ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องตรวจนับสินค้าอยู่กับพยานของผู้ร้องในร้านสหกรณ์ซึ่งต่างสถานที่กัน เหตุที่กฎหมายบทนี้ บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่นำพยานมาสืบภายหลังถามค้านพยานที่คนจะนำมาสืบหักล้างหรือเพื่อพิสูจน์ไว้เสียก่อนก็เพื่อพิสูจน์ไว้เสียก่อน ก็เพื่อให้พยานฝ่ายที่ต้องนำสืบก่อนมีโอกาศอธิบายถึงข้อความเหล่านั้น แก่กรณีนี้ พยานแต่ละฝ่ายต่างอ้างว่าอยู่คนละแห่งคนละฐานที่ รู้เห็นเหตุการณ์คนละอย่าง จึงไม่ใช่ความประสงค์ดังที่บัญญัติไว้
ส่วนที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งมาว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีตามคำร้องขอโจทก์ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายผู้ร้องไม่คัดค้านในการที่โจทก์ขอเลื่อนคดีเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การขอเลื่อนคดีนี้ แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่คัดค้าน เมื่อศาลเห็นว่าไม่มีเหตุจำเป็นพอที่จะเลื่อนคดี จะไม่อนุญาติให้เลื่อนก็ได้ และทนายโจทก์ได้ลงชื่อรับรองไว้ในคำร้องที่ขอเลื่อนว่า รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว ย่อมถือได้ว่า ทนายโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีในวันที่สั่งนั้น.