โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 81, 83, 91, 284, 288, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 81, 288, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ ข้อหาพยายามฆ่าให้ลงโทษจำคุก 25 ปี ข้อหามีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี ข้อหาพกพาอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 26 ปี 6 เดือนริบของกลาง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้เสียหายได้ถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานพยายามฉุดคร่าพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ความผิดฐานนี้จึงเป็นอันยุติ ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองกับฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่พยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นที่สงสัย ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกับนายระวี วงษ์มีแก้ว ถูกจับกุมพร้อมด้วยอาวุธปืนของกลางในวันเกิดเหตุที่เกิดเหตุด้วยกัน นายระวีถูกแยกฟ้องต่างหากและศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษในความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้วปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 251/2527 ปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามฟ้องนั้น โจทก์มีนางสุดาผู้เสียหาย นายคำตาสามีผู้เสียหาย พลตำรวจสุริยัน และนายชมภูนุชเบิกความสอดคล้องต้องกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่จำเลยกระทำความผิดจนถึงตอนจับกุมจำเลยกับพวกและยึดของกลางได้ความเป็นที่กระจ่างชัดดังได้กล่าวไว้ในข้อนำสืบของฝ่ายโจทก์แล้ว หากจะกล่าวเน้นเป็นการวินิจฉัยและสรุปอีกครั้งหนึ่งก็เป็นที่เห็นได้ชัดว่า จำเลยซึ่งแต่งเครื่องแบบทหารพรานและเมาสุรามีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน 2 ครั้ง ครั้งแรกใช้ขู่บังคับผู้เสียหายเพื่อให้ยอมไปร่วมประเวณี ครั้งหลังใช้ยิงพลตำรวจสุริยัน โดยครั้งแรกผู้เสียหายกับนายคำตายืนยันว่าจำเลยเป็นคนใช้อาวุธปืนพกจี้ที่หน้าอกผู้เสียหายนายระวีเป็นคนรัดคอ ตรงบริเวณถูกจี้และรัดคอมีแสงไฟฟ้าจากร้านค้าชื่อร้านพาต้าส่องสว่างถึง ผู้เสียหายกับนายคำตาได้ให้การชั้นสอบสวนยืนยันว่า จำเลยใช้อาวุธปืนพกจี้ผู้เสียหายเช่นกัน สำหรับเหตุการณ์ในครั้งที่สองพลตำรวจสุริยา นายคำตาและนายชมภูนุช ก็ได้ยืนยันสอดคล้องตรงกันว่าเมื่อพลตำรวจสุริยากับนายคำตาออกติดตามพบจำเลยกับนายระวีแล้ว พลตำรวจสุริยาได้เอาอาวุธปืนของกลางมาจากนายระวี มาเก็บพกไว้ที่เอว จำเลยเข้ามาขออาวุธปืนคืนพลตำรวจสุริยันไม่ยอมคืนให้พลตำรวจสุริยันเอากระสุนปืนออกจำเลยพยายามเข้าไปหาพลตำรวจสุริยันเพื่อขออาวุธปืนคืนอีกต่อมาระหว่างที่พลตำรวจสุริยันบอกให้นายคำตาไปตามเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุจำเลยได้แย่งเอาอาวุธปืนไปได้แล้วยิงพลตำรวจสุริยันเสียงดังแชะรวม 3 ครั้ง ความข้อนี้ นายคำตาเบิกความด้วยว่า ได้ยินพลตำรวจสุริยันพูดขึ้นว่ามึงยิงกูหรือส่วนนายชมภูนุชได้ยินว่า มึงจะยิงกูหรือ นายชมภูนุชยังเบิกความว่าก่อนที่จะได้ยินวลี ดังกล่าวและเสียงดังแชะ เห็นจำเลยเดินเข้าไปหาพลตำรวจสุริยันซึ่งกำลังเดินถอยหลัง พลตำรวจสุริยันจึงเอาพานท้ายปืนยาวที่ติดตัวกระแทกไปที่หางคิ้วซ้ายของจำเลย และแย่งเอาอาวุธปืนคืนมาได้ พลตำรวจสุริยันกับนายชมภูนุชว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟฟ้านีออนซึ่งติดอยู่ที่เสาข้างทาง เห็นว่าพยานโจทก์ได้เบิกความสอดคล้องตรงกันถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นได้เรื่องราวเป็นลำดับรับกันเป็นทอด ๆ มีเหตุผล โดยเฉพาะ เมื่อคำนึงถึงได้ความว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างของไฟฟ้าด้วยรวมทั้งพยานโจทก์อยู่ใกล้ชิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบกับพยานโจทก์ทั้งหมดเห็นจำเลยแต่งเครื่องแบบทหารพรานในขณะเกิดเหตุอยู่ด้วย หากจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพยานโจทก์ย่อมไม่กล้ากล่าวหาจำเลยในข้ออุกฉกรรจ์เช่นเรื่องนี้ทั้งปรากฏว่าไม่รู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนยิ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย รูปคดีทำให้เชื่อได้ว่าพยานโจทก์ได้เบิกความเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามที่ตนรู้เห็นตามสัตย์จริง ทั้งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางการจับกุมและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานไว้แล้วปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งแม้ในชั้นจับกุมจะไม่ได้แจ้งข้อหาดังกล่าวก็หาทำให้การวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใดคดีจึงฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนทั้ง 2 ครั้งโดยเฉพาะในตอนยิงพลตำรวจสุริยันที่บริเวณหน้าบ้านนายชมภูนุชแต่กระสุนปืนไม่ลั่นโดยพลตำรวจสุริยันถอดเอากระสุนปืนออกเสียก่อนนั้น พลตำรวจสุริยันได้ยึดอาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงไว้เป็นของกลางทั้งปรากฏจากคำให้การชั้นสอบสวนของนายระวีว่าอาวุธปืนเป็นของจำเลย และได้ความจากนายบุญเสริฐ ศิลปจิตร พยานโจทก์ ซึ่งขณะเกิดเหตุรับราชการในตำแหน่งปลัดอำเภอเมืองสกลนครว่าได้ตรวจอาวุธปืนของกลางแล้วปรากฏว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับดังนี้ แม้ได้ความจากพลตำรวจสุริยันว่า ก่อนหน้าที่จำเลยจะแย่งเอาอาวุธปืนของกลางไปและยิงพลตำรวจสุริยันนั้น พลตำรวจสุริยันได้ยึดเอาอาวุธปืนของกลางมาจากนายระวีก็ตาม แต่ผู้เสียหายกับนายคำตายืนยันว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนพกจี้ผู้เสียหายตั้งแต่ก่อนพลตำรวจสุริยันพบจำเลย เห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยกับนายระวีผลัดกันใช้อาวุธปืนของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีทะเบียนเช่นนี้ ถือว่าร่วมกันมีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองและพกพาอาวุธปืนของกลางไปในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นเมืองและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ประกอบกับได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจตรีประเสริฐ ปักษี พนักงานสอบสวนว่าของกลางมีอาวุธปืนขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืนขนาดเดียวกันรวม 3 นัด ตามเอกสารหมาย จ.1 อันเป็นเหตุผลสนับสนุนให้เชื่อว่า ก่อนที่พลตำรวจสุริยันถอดเอากระสุนปืนออกจากอาวุธปืนของกลาง ได้มีกระสุนปืนบรรจุอยู่ในอาวุธปืนของกลางจริง ดังนี้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนนั้นยิงพลตำรวจสุริยัน จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าพลตำรวจสุริยันซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่และการกระทำของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลอย่างแน่แท้โดยปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิด เพราะพลตำรวจสุริยันถอดเอากระสุนปืนออกเสียก่อนอีกกระทงหนึ่งด้วย ส่วนข้อที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านที่เกิดเหตุพบพลตำรวจสุริยันชกต่อยกับนายระวีจำเลยเข้าไปสอบถามเรื่องราว พลตำรวจสุริยันขอดูบัตรประจำตัวจำเลยไม่ยอมให้ดู นายคำตาเข้ารัดคอจำเลย พลตำรวจสุริยันจะล้วงกระเป๋าเอาบัตรประจำตัวให้ได้ จำเลยขัดขืนดิ้นรนและถูกพลตำรวจสุริยันใช้พานท้ายปืนตีถูกหางคิ้วจำเลยไปแจ้งความ แต่พนักงานสอบสวนไม่รับแจ้งความนั้น เห็นว่า หากจำเลยถูกทำร้ายโดยสาเหตุมิได้สืบเนื่องจากจำเลยเป็นฝ่ายผิด จำเลยก็น่าจะเป็นฝ่ายไปแจ้งความด้วยตนเอง แต่จำเลยก็เบิกความว่าสารวัตรทหารเป็นคนนำจำเลยส่งสถานีตำรวจโดยมีพลตำรวจสุริยันขับขี่รถจักรยานยนต์ของจำเลยตามไปและไม่ปรากฏว่าจำเลยขอให้สารวัตรทหารเป็นพยานให้จำเลย หรือจำเลยขอให้ผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารพรานดำเนินการช่วยเหลือตามสมควร ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลตามที่ได้วินิจฉัยมา จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และความผิดฐานมีและพกพาอาวุธปืนตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นปรับบทความผิดในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 81 นั้นเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 289 แล้วก็ไม่ต้องปรับบทความผิดตามมาตรา 288 อีก"
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ไม่ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288