โจทก์ฟ้องว่านายแถมผู้วายชนม์ได้แบ่งซื้อที่จากนางยา ๑ ไร่ เศษราคา ๓๐ บาทจำเลยมาเป็นผู้รับซื้อที่ดินจากผู้รับมฤดกในภายหลังและไม่ยอมแบ่งแยกที่ดินที่นายแถมซื้อไว้ให้โจทก์ จำเลยให้การว่านายแถมอยู่ในที่รายนี้โดยทางอาศัยนางยา เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๓ บรรดาผู้รับมฤดกนางยาได้ขอรับมฤดกที่ดินทั้งโฉนดรายนี้แล้ว นายแถมมิได้คัดค้าน และเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๙ จำเลยได้รับซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดินตามส่วนของผู้รับมฤดกไว้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้รับมฤดกนางยาได้ถือกรรมสิทธิร่วมกันในที่ดินรายนี้หลายคน ตามทะเบียนปรากฏว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในประเภทให้ แต่เมื่อโจทก์กล่าวว่าจำเลยรับซื้อไว้ จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลแพ่งฯ มาตรา ๑๒๙๙ พิพากษาให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับศาลจังหวัดว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของนายแถม ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องและขวางการแบ่งแยก
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าพะยานโจทก์ฟังได้ว่านายแถมได้ซื้อที่พิพาทจากนางยาเมื่อ ๓๐ ปีเศษมาแล้ว แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยเรื่องนี้แม้จะฟังว่าได้ซื้อที่พิพาทจากผู้รับมฤดกนางยาบางคนก็ดีแต่จำเลยเป็นสามีนางเป้าซึ่งเป็นผู้รับมฤดกนางยาผู้หนึ่งและอยู่ในที่ของนางยาเองตลอดมาย่อมทราบดีว่านายแถมได้ซื้อที่พิพาทและครอบครองเป็นเจ้าของมากว่า ๓๐ ปีแล้ว จะฟังว่าจำเลยได้ซื้อโดยสุจริตมิได้ จึงยกประมวลแพ่งฯ มาตรา ๑๒๙๙ มาบังคับไม่ได้ พิพากษายืนตามให้ยกฎีกาจำเลย