กรณีเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย  ให้จำเลยรื้อถอนห้องแถว ๒๒ ห้องของจำเลยที่ปลูกบนที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๒๐๐ บาท  ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดิน  โจทก์จำเลยทำยอมในศาล  โดยจำเลยและบริวารยอมออกจากที่ดินตามฟ้อง  และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย  ต่อมาโจทก์ร้องต่อศาลชั้นต้นว่า  ผู้ร้องทั้ง ๑๘ คน  ซึ่งเป็นบริวารของจำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินโจทก์  ศาลชั้นต้นเรียกผู้ร้องมาสอบถาม  ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ามิใช่บริวารของจำเลย  ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเดิมเป็นของนางประเสริฐ ๆ ยกให้นายพูลผล ๆ ได้เชิดนางประเสริฐกับนางสาวเจียร  เป็นตัวแทนในการให้ผู้ร้องเช่าเพื่ออยู่อาศัย  แล้วโจทก์ซื้อที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างจากนายพูลผล  โดยโจทก์รู้ถึงสิทธิการเช่าของผู้ร้องอยู่ก่อนแล้ว  แล้วโจทก์ให้จำเลยมาเรียกเงินกินเปล่าและขึ้นค่าเช่าจากผู้ร้อง  นายพูลผลกับโจทก์ได้เชิดนางสาวเจียรและจำเลยเป็นตัวแทนตลอดมา  การกระทำของโจทก์กับจำเลยเป็นการสมยอมกัน  เพื่อมิให้ผู้ร้องได้ใช้หรือรับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่า  เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต  และขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ๆ และว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง  เพราะขณะยื่นฟ้องกรรมสิทธิที่ดินตกเป็นของหม่อมเจ้าหญิงอัจฉราฉวี  เทวกุล  ผู้รับซื้อฝากที่ดินนี้จากโจทก์แล้ว
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า  เดิมนางสาวเจียรเช่าที่ดินของนางประเสริฐเพื่อปลูกห้องแถวและผู้ร้องทุกคนได้เช่าห้องจากนางสาวเจียรเพื่ออยู่อาศัย  ภายหลังโจทก์ซื้อที่ดินแลปงนี้  ส่วนจำเลยซื้อห้องแถวจากนางสาวเจียรแล้วให้ผู้ร้องเช่าต่อมา  ที่ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างเป็นของนางประเสริฐและนายพูลผลได้เชิดนางประเสริฐ  นางสาวเจียร  เป็นตัวแทนให้เช่าที่ดินและห้องแถวนั้นฟังไม่ขึ้น  ผู้ร้องจึงไม่มีนิติสัมพันธ์อะไรกับนางประเสริฐและโจทก์  ทั้งผู้ร้องสืบไม่ได้ว่าโจทก์ได้เชิดจำเลยเป็นตัวแทนให้เช่าที่ดิน  ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าโจทก์ขายฝากที่ดินแก่หม่อม เจ้าหญิงอัจฉราฉวีนั้น  เห็นว่า  โจทก์ยังมีสิทธิไถ่คืนอยู่  และมีอำนาจที่จะบังคับเอาแก่จำเลยโดยไม่มีอะไรหักล้าง  อำนาจนี้ย่อมบังคับถึงบรรดาผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยด้วย  จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง  คงให้คำบังคับใช้บังคับแก่ผู้ร้องตามเดิม
ผู้ร้องทั้ง ๑๘ คนอุทธรณ์ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า  อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นอุทธรณ์ในชั้นบังคับคดี  นับเป็นสาขาคดี  คดีเดิมของเรื่องนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท  จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์  หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแพ่งข้อความในสัญญาเช่า  คดีของผู้ร้องจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๔  ศาลอุทธรณ์คงวินิจฉัยอุทธรณ์ผู้ร้องเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย  แล้วพิพากษายืน
ผู้ร้องทั้ง ๑๘  คนฎีกา  ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า  คดีชนิดนี้จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า  ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย  เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินกับสิ่งปลูกสร้าง  โจทก์รู้ถึงสิทธิการเช่าของผู้ร้องกับเจ้าของเดิมอยู่ก่อนแล้ว  การกระทำของโจทก์จำเลยเป็นการสมยอมเพื่อให้ผู้ร้องไม่ได้ใช้หรือรับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ฯ ซึ่งหากพิจารณาได้ความจริงตามคำร้อง  ก็จะใช้คำพิพากษาที่บังคับขับไล่จำเลยมาบังคับขับไล่ผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๒ (๑) ด้วยมิได้
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่  เห็นว่า  ผู้ร้องมิใช่คู่ความเดิมในคดีและตามคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องผู้ร้องอ้างว่ามีอำนาจพิเศษในการที่จะอยู่ในห้องพิพาทได้โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจของจำเลย  เท่ากับผู้ร้องตั้งประเด็นพิพาทโต้แย้งขึ้นมาใหม่  ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นพิพาทเดิม  ในการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีก็ฟ้องถือตามเรื่องราวที่ได้ความใหม่  ซึ่งตามรูปเรื่องคดีของผู้ร้องไม่ใช่คดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา ๒๒๔  ผู้ร้องย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  โดยย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่