โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขอกู้เงินโดยเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ต่อมาจำเลยได้ทำหนังสือรับรองหนี้สินว่าเป็นหนี้โจทก์รวม ๓๗,๖๘๔ บาท และขอผ่อนชำระเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๐๖ โดยยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี และยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีการเบิกเงินเกินบัญชีของธนาคาร จำเลยมิได้ปฏิบัติตามที่รับรองไว้ โจทก์ทวงถาม จำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระหนี้
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามข้อบังคับของโจทก์ เดิมจำเลยเป็นลูกค้าฝากเงินกระแสรายวันกับโจทก์ ภายหลังโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ ต่อมาโจทก์บอกเลิก โดยเรียกร้องให้จำเลยใช้หนี้เบิกเงินเกินบัญชีต่อไป และให้จำเลยผ่อนชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์เดือนละอย่างต่ำ ๑,๕๐๐ บาท ภายในสิ้นเดือนของทุกเดือนตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๐๖ เป็นต้นไป แต่มิได้ตกลงให้คิดดอกเบี้ยทบต้นโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องนับแต่เดือนมีนาคม ๒๕๐๖ จนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า ๕ ปี คดีขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวม ๔๗,๕๗๒ บาทและดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี ในต้นเงิน ๒๗,๑๔๘ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำหนังสือรับรองหนี้สินว่ายังเป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยรวม ๓๗,๖๘๕ บาท และยอมผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนอย่างต่ำเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ให้โจทก์ภายในสิ้นเดือนของทุก ๆ เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๐๖ เป็นต้นไปถือได้ว่าหนังสือรับรองหนี้สินดังกล่าวนี้โจทก์จำเลยได้ตกลงเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระหนี้ใหม่ โดยเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่งและเรียกเอาจำนวนเงินอันพึงส่งเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องต้นเงินคืนได้แต่ละงวด ๆ ละเดือน และสิทธิเรียกร้องของโจทก์เรียกร้องได้งวดละ ๑,๕๐๐ บาท เริ่มวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๐๖ เป็นต้นไป จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๐๘ เป็นงวดสุดท้าย โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๑๔ เป็นเวลาเกิน ๕ ปี นับแต่กำหนดวันชำระงวดสุดท้ายเป็นต้นมาฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๖ (อ้างฎีกาที่ ๕๘๑/๒๔๙๔)
พิพากษายืน