โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 54,363 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 17716/2539 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ตามคำฟ้องของโจทก์ในสำนวนคดีแพ่งดังกล่าว โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ 1 คัน โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน แล้วจำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระค่างวดเช่าซื้อตามสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีหากไม่สามารถส่งคืนได้ก็ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้สอยรถยนต์ของโจทก์นับแต่วันผิดนัดจนกว่าส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนครบถ้วน พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การและไม่สืบพยาน ส่วนจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 115,000 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,356 บาท นับแต่วันที่15 มกราคม 2538 จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาเสร็จแก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าใช้ทรัพย์เดือนละ 2,000 บาทแต่ไม่เกิน 2 ปี 4 เดือน นับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2538 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่า ในคดีก่อนโจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนและให้ใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้ทรัพย์นับแต่วันผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ แต่คดีนี้แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายอ้างมูลเหตุว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อเช่นเดียวกับคดีก่อน แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องอ้างว่า หลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วโจทก์ได้ติดตามยึดรถยนต์จากจำเลยทั้งสองคืนมาได้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตามยึดรถคืนไป 3,000 บาท และรถยนต์ที่ยึดกลับคืนมามีสภาพชำรุดทรุดโทรม โจทก์ขายทอดตลาดไปได้เงินมาจำนวน 63,636.36 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าใช้จ่ายในการยึดรถและค่าเสื่อมราคา รวมเป็นเงิน 54,363 บาท พร้อมดอกเบี้ย ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ความเสียหายของโจทก์ตามฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว คำขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องคดีนี้จึงต่างจากคำขอของโจทก์ให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายในคดีก่อน และมิใช่เป็นประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ทั้งมิใช่กรณีที่จะไปว่ากล่าวชั้นบังคับในคดีก่อนได้ เพราะการบังคับคดีในคดีก่อนจำต้องอาศัยคำพิพากษาที่วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในมูลหนี้ใดบ้าง จึงไม่อาจนำมูลหนี้ตามฟ้องในคดีนี้ที่เกิดเกิดขึ้นใหม่ภายหลังศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนไปบังคับคดีเอากับกับจำเลยทั้งสองในคดีก่อนได้ ฉะนั้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน แต่คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้มีการวินิจฉัยคดีตามลำดับชั้นศาล คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ตรงกับความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่