โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 371, 138, 140, 288, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยแถลงขอต่อสู้คดี แต่ไม่ได้ให้การถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 140 วรรคแรก ประกอบมาตรา 138 วรรคสอง, 371พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานฆ่าผู้อื่นจำคุก 20 ปี ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำคุก 2 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัว(ตามประมวลกฎหมายอาญาฯ และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ)เป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี คำให้การจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ทุกกระทง (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78)คงจำคุก 15 ปี 1 ปี 6 เดือน และ 9 เดือน ตามลำดับ รวมโทษสี่กระทงเป็นจำคุก 16 ปี 24 เดือน ริบกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง นายทอง อุบลแย้ม ผู้ตายได้ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณเหนือราวนมซ้ายทะลุถูกหัวใจ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง เนื่องจากเหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2529แต่โจทก์เพิ่งได้ตัวจำเลยมาฟ้องเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2539อันเป็นระยะเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าคดีโจทก์สำหรับความผิดข้อหาฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองและฐานพาอาวุธปืนตามฟ้องสองกระทงแรก ขาดอายุความฟ้องร้องแล้วหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความผิดข้อหาฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนตามฟ้องกระทงแรกนั้น ศาลล่างทั้งสองคงพิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคสาม ซึ่งมีระวางโทษจำคุก 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท เพียงบทเดียวเท่านั้นโดยมิได้พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีเครื่องกระสุนปืนตามมาตรา 7, 72 วรรคสอง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับมาด้วย และโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองในส่วนนี้ ความผิดข้อหาฐานมีเครื่องกระสุนปืนตามมาตรา 7, 72 วรรคสอง จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองส่วนข้อหาฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นนั้น โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยต่อศาลภายในกำหนด10 ปี นับแต่วันกระทำความผิด จึงเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) และสำหรับความผิดข้อหาฐานพาอาวุธปืนตามฟ้องกระทงที่สองอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง, 72 ทวิ วรรคสองซึ่งมีระวางโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาทถึง 10,000 บาท กับเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ซึ่งมีระวางโทษปรับไม่เกิน 100 บาท อีกบทหนึ่งด้วยนั้นโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยต่อศาลภายในกำหนด 10 ปี และ 1 ปี นับแต่วันกระทำความผิดตามลำดับ ความผิดตามฟ้องกระทงที่สามนี้จึงเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3)และมาตรา 95(5) ตามลำดับเช่นเดียวกัน ชอบที่ศาลจะต้องยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามฟ้องสองกระทงแรกนี้เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่งที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดตามฟ้องสองกระทงแรกนี้มานั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ และสำหรับความผิดข้อหาฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามฟ้องกระทงหลังนั้นศาลอุทธรณ์ ภาค 7พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษจำเลยหลังจากลดโทษแล้วให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน ความผิดข้อหานี้จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ตามฎีกาของจำเลย จำเลยได้ฎีการวมกันมาในความผิดทุกข้อหาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ เพราะมีกรณีน่าสงสัยหลายประการจำเลยจึงควรได้รับประโยชน์แห่งความสงสัยดังกล่าว ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงในสำนวนของศาลอุทธรณ์ภาค 7 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยในความผิดข้อหาฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของจำเลยในความผิดข้อหานี้มาด้วย ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้ และศาลฎีกาเห็นสมควรกล่าวต่อไปด้วยว่าความผิดข้อหาฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานนี้ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดโดยใช้อาวุธปืนจ้องเล็งขู่เข็ญเจ้าพนักงานตำรวจและข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 7 ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยได้กระทำความผิดโดยใช้อาวุธปืนของกลางจ้องเล็งขู่เข็ญเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งจะเข้าจับกุมจำเลยตามอำนาจหน้าที่จริงตามฟ้อง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง ประกอบมาตรา 140วรรคแรกและวรรคสาม ซึ่งคำนวณแล้วมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 15,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แม้ศาลล่างทั้งสองจะปรับบทลงโทษจำเลยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง ประกอบมาตรา 140 วรรคแรก ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับก็ตาม ก็หาเป็นเหตุทำให้คดีโจทก์ในความผิดข้อหานี้ต้องขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) ไม่ เพราะเป็นกรณีที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยผิดพลาดไปเอง และศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขปรับบทลงโทษจำเลยสำหรับความผิดข้อหานี้เสียใหม่ให้ถูกต้องตามฟ้องและตามที่ปรากฏในทางพิจารณาได้โดยไม่เพิ่มเติมโทษจำเลยในชั้นนี้คดีคงมีปัญหาข้อเท็จจริงต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงฆ่านายทองผู้ตายตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอย่างมากอันเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แต่ศาลล่างทั้งสองคงลดโทษให้จำเลยในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและฐานฆ่าผู้อื่นมาเพียงกระทงละหนึ่งในสี่จึงน้อยไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเป็นลดโทษให้จำเลยกระทงละหนึ่งในสาม"
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม และมาตรา 8 ทวิ วรรคสอง, 72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 เสีย ส่วนความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานนั้นจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสองประกอบมาตรา 140 วรรคแรกและวรรคสาม แต่กำหนดโทษก่อนลดโทษให้คงเดิม เมื่อลดโทษให้จำเลยสำหรับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานฆ่าผู้อื่นคงจำคุก 13 ปี4 เดือน ส่วนฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานคงจำคุก 1 ปี 4 เดือนรวมโทษ 2 กระทง เป็นจำคุก 14 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7