โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๙ เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยกับพวกอีกหลายคนซึ่งหลบหนีไปได้บังอาจสมคบร่วมกันชกต่อยและใช้ไม้เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ นิ้วครึ่ง ยาว ๑ ศอก กับมีดปลายแหลมเป็นอาวุธตีและแทงทำร้ายร่างกายนายชลิต อินทรพาเพียร โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่านายชลิตให้ตาย นายชลิตได้ถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่จำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำร้ายสมดังเจตนาของจำเลย เหตุเกิดที่แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓ จำเลยที่ ๑ มีอายุ ๑๖ ปี จำเลยที่ ๒ มีอายุ ๑๘ ปี ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา ๗๕, ๗๖ กึ่งหนึ่ง วางโทษจำคุกจำเลยคนละ ๗ ปี ๖ เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๘๓ จำเลยที่ ๑ มีอายุ ๑๖ ปี จำเลยที่ ๒ มีอายุ ๑๘ ปีลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ และมาตรา ๗๖ ตามลำดับ คนละกึ่งหนึ่ง วางโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีกำหนดคนละ ๖ เดือน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าก่อนจะเกิดเหตุคอกม้าแข่งของนายช้างได้ถูกทุบจนม้าตื่นและคอกม้าพัง หลังจากที่ได้ทราบข่าวว่าผู้ตายเป็นคนทุบคอกม้านายเล็กกับพวกประมาณ ๒๐ - ๓๐ คน มีปืน มีด ไม้เป็นอาวุธตามหาผู้ตายเมื่อพบกันนายเล็กได้สอบถามผู้ตายถึงเรื่องที่ทุบคอกม้า แต่ผู้ตายปฏิเสธจึงเกิดการทำร้ายกันขึ้น โดยจำเลยที่ ๑ ถือไม้คุมเชิงอยู่ในที่เกิดเหตุ จำเลยที่ ๒ ชกผู้ตาย ๒ ที นายแป๊ะใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตาย ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นว่าแม้จะได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ถือไม้คุมเชิงอยู่ในขณะที่เกิดการชุลมุนจำเลยที่ ๒ เพียงแต่ชกผู้ตาย ๒ ทีเท่านั้น ก็เห็นว่าจำเลยที่สองเป็นพวกของนายเล็กซึ่งมีมากประมาณ ๒๐ - ๓๐ คน มีทั้งอาวุธปืน มีด และไม้ไปตามหาเอาเรื่องกับฝ่ายผู้ตาย ส่อเจตนาว่าร่วมกันมาตั้งแต่ต้นและจำเลยทั้งสองต่างก็ได้ร่วมลงมือในการกระทำผิดด้วย แม้พวกของจำเลยจะเป็นคนแทงและตีศีรษะผู้ตายแต่เป็นบาดแผลที่รุนแรงถูกอวัยวะที่เป็นส่วนสำคัญของร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลนั้นในเวลาต่อมา จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามมาตรา ๒๘๘,๘๓
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่าให้ลงโทษจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.