โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินโฉนดที่ 3543 กับตึกเรือนโรงสิ่งปลูกสร้างของโจทก์เพื่อการค้ามีกำหนด 3 ปี นับแต่ 1 กันยายน 2492 ค่าเช่าเดือนละ 500 บาท จำเลยผิดสัญญาและบัดนี้สัญญาเช่าได้สิ้นกำหนดแล้ว โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาการเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออก โจทก์เสียหาย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินกับตึกเรือนโรงสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว และให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง 4,000 บาทกับค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่กันยายน 2503 จนกว่าจำเลยจะออกและส่งมอบที่ดินให้โจทก์
จำเลยให้การว่า เดิมจำเลยเช่าที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ตามฟ้องจริง ต่อมาโจทก์ขอเลิกสัญญากับจำเลย โจทก์ทำสัญญาเช่ากับจำเลยใหม่เมื่อ 2 มิถุนายน 2494 โดยโจทก์ให้จำเลยกับพวกเช่าที่ดินแปลงเดียวกันนี้ยาวตามถนนดำรงค์รักษ์ เพื่อปลูกตึกแถว 2 ชั้น 11 ห้อง มีกำหนด 12 ปี เมื่อปลูกเสร็จจำเลยยอมยกกรรมสิทธิ์ตึกแถวให้เป็นของโจทก์โดยจำเลยยอมเสียค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ 60 บาท การทำสัญญาเช่าครั้งหลังนี้ จำเลยต้องเสียเงินกินเปล่าให้โจทก์จำนวนมากเพื่อหวังสิทธิที่จะได้เช่าที่ดินตามกำหนดเวลาที่ตกลงกัน โจทก์ได้มอบหมายให้จำเลยช่วยเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินแปลงเดียวกันซึ่งจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์มาก่อนเป็นครั้งคราว แต่ขณะนี้โจทก์เป็นผู้เก็บค่าเช่าและตกลงทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าเองทั้งสิ้น เว้นแต่โกดังของจำเลยที่ 2 ซึ่งปลูกสร้างต่อเนื่องกับตึกแถวที่จำเลยได้ปลูกขึ้นตามสัญญาเช่าครั้งหลังซึ่งโจทก์ยอมให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เช่าตามสัญญาฉบับหลัง การเช่าที่ดินเพื่อปลูกสร้างตึกโดยยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์นี้ แม้มิได้จดทะเบียน แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทนเมื่อยังไม่ครบกำหนดสัญญา โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้โจทก์ไม่ได้เสียหายจริงตามฟ้องหากเสียหายก็ไม่เกินเดือนละ 500บาท ตามอัตราค่าเช่าที่โจทก์ตกลงกับจำเลย ค่าเช่าที่โจทก์ว่าค้าง 4,000 บาทก็ไม่เป็นความจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1-2 และบริวารออกจากที่ดินโฉนดที่ 3543 กับตึกเรือนโรงบรรดาสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดินนี้ไป (นอกจากตอนที่เช่าที่ตามสัญญาหมาย จ.2) ให้จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันชำระค่าเช่าที่ค้าง 4,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน 2503 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1-2 จะออกและส่งมอบที่ดินให้โจทก์
โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าโจทก์ควรได้ค่าเสียหายตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหายโดยให้จำเลยที่ 1-2 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,400 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
จำเลยฝ่ายเดียวฎีกาว่าค่าเสียหายรายเดือนที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้เดือนละ 1,400 บาท ไม่ชอบ
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คำฟ้องขับไล่ซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เช่นคดีเรื่องนี้ถือว่าเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ถึงแม้โจทก์จะมีคำขอเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายมาด้วย ก็จะชี้ขาดว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่ได้ โดยเฉพาะคดีนี้ประเด็นเรื่องขับไล่ได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหายเท่านั้นก็ตาม จำเลยก็ยังฎีกาในข้อเท็จจริงในฐานที่เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยแล้วพิพากษาแก้ว่า ให้จำเลยที่ 1-2 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,200 บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน 2503 เป็นต้นไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามศาลอุทธรณ์