คดีทั้งสี่สำนวนนี้โจทก์ฟ้องมีความว่า เมื่อระหว่างตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๓ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๙ และตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๙ ตามลำดับสำนวนตลอดมาจนถึงวันฟ้อง จำเลยแต่ละสำนวนได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในหนองเสม็ดใหญ่อันเป็นหนองน้ำสาธารณะที่ทางราชการหวงห้ามไว้เพื่อสาธารณประโยชน์สำหรับคนและสัตว์ใช้อาบกิน เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม๒๕๑๕ นายจ่าง บุญอาจ นายอำเภอเมืองบุรีรัมย์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ตรวจตรารักษาที่อันเป็นสาธารณประโยชน์ ได้มีคำสั่งให้จำเลยออกจากหนองเสม็ดใหญ่ จำเลยได้ทราบคำสั่งของนายอำเภอเมืองบุรีรัมย์แล้วได้ฝ่าฝืนไม่ยอมออกจากหนองสาธารณะดังกล่าวเป็นการขัดคำสั่งนายอำเภอเมืองบุรีรัมย์ โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๘
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธความว่า ที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่มิได้อยู่ในเขตหนองเสม็ดใหญ่ แต่เป็นที่ดินที่ทางการอนุญาตให้จับจองก่อสร้างและถือสิทธิเป็นเจ้าของได้ ที่ดินดังกล่าวนี้เดิมเป็นของนายเลื่อน นายบุญมา วิริยะกุล และนายบุญมา ปิดตะฝ้าย บุคคลเหล่านี้ได้แจ้ง ส.ค.๑ ไว้ก่อนที่จะโอนขายให้จำเลย คำสั่งของนายอำเภอเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ และนายสมบูรณ์จำเลยให้การต่อสู้ด้วยว่าไม่เคยอาศัยอยู่ในที่ดินตามฟ้อง ที่ดินตามฟ้องเป็นของนายแดงพ่อตาจำเลย
ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์แถลงรับว่าตามสำนวนการสอบสวนมี ส.ค.๑ จริง โดยมีชื่อใน ส.ค.๑ ว่า นายเลื่อน ศรีเพชรพงษ์นายบุญมา วิริยะกุล และนายบุญมา ปิดตะฝ้าย ซึ่งฝ่ายจำเลยได้ยื่นไว้ต่อพนักงานสอบสวน แต่เป็นที่ดินคนละแห่งกับที่โจทก์ฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานทุกฝ่ายโดยวินิจฉัยว่า ตามรูปเรื่องเท่าที่จำเลยให้การมานั้น สมควรที่จะดำเนินคดีว่ากล่าวเรื่องสิทธิในที่ดินกันทางแพ่งยิ่งกว่าการฟ้องร้องทางอาญาเช่นนี้เพราะตามคำฟ้องและคำให้การก็ฟังได้ว่าจำเลยครอบครองต่อเนื่องกันเรื่อยมา เป็นเวลานานแล้วจำเลยมีหลักฐาน ส.ค.๑ มายืนยันและแสดงเหตุผลให้ทราบตั้งแต่ต้นแล้วทางอำเภอก็ไม่เคยดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานบุกรุกมาก่อนเลยเหตุผลเหล่านี้ประกอบข้อต่อสู้ของจำเลย ทำให้ศาลเห็นว่า จำเลยมีความเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าที่ดินที่จำเลยครอบครองเป็นของจำเลยโดยการครอบครองมานานแล้วซึ่งนายอำเภอเมืองบุรีรัมย์จะสั่งให้จำเลยออกโดยพลการเช่นนี้ไม่ได้ความเชื่อมั่นของจำเลยเช่นนี้มีเหตุผลสนับสนุนอยู่พร้อมมูลว่าจำเลยมีเหตุผลอันดี และมีข้อแก้ตัวอันสมควรที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายอำเภอเมืองบุรีรัมย์ได้จึงเอาผิดแก่จำเลยไม่ได้ ตามมาตรา ๓๖๘พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าตามคำฟ้อง คำให้การและคำแถลงของโจทก์นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงให้ฟังเป็นยุติได้ดังศาลล่างรับฟังมาหรือไม่ เห็นว่าจริงอยู่ที่ปรากฏจากคำฟ้องว่าจำเลยครอบครองที่ดินที่นายอำเภอสั่งให้ออกนั้นมานานแล้วแต่การครอบครองมานานมิใช่เหตุผลที่แสดงอยู่ในตัวว่า จำเลยมีความเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าที่ดินนั้นเป็นของจำเลยเองไม่ใช่ที่สาธารณะ เพราะจำเลยอาจจะครอบครองมานานทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าที่ดินนั้นเป็นที่สาธารณะก็ได้ แม้จำเลยจะได้ให้การถึงว่าที่ดินตามฟ้องมีการแจ้ง การครอบครองโดยมี ส.ค.๑ เป็นหลักฐาน ซึ่งอาจเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงว่าจำเลยครอบครองที่ดินมาโดยไม่รู้ว่าเป็นที่สาธารณะได้ แต่โจทก์ก็ยังแถลงโต้แย้งอยู่ว่าที่ดินตาม ส.ค.๑ ที่จำเลยอ้างถึงนั้นเป็นที่ดินคนละแห่งกับที่ดินที่โจทก์ฟ้องเรื่อง ส.ค.๑ จึงยังเป็นเรื่องโต้เถียงกันอยู่อีกเช่นกัน ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามคำฟ้องคำให้การและคำแถลงของโจทก์นั้น คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยอันจะพึงถือว่าจำเลยมีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายอำเภอจำเป็นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานต่อไปให้สิ้นกระแสความที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องนั้น จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี