โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท ๕ ฉบับ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๓๖๒,๕๑๗ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งจ่าย และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นผู้สลักหลังรับอาวัลเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ แต่เช็คพิพาททุกฉบับธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่าบัญชีปิดแล้ว ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่โจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า การลงลายมือชื่อของจำเลยที่ ๓ เป็นการกระทำในกิจการของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๓ ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คโดยมิได้เขียนแถลงว่ากระทำการแทนบุคคลอื่น แม้จะมีตราสำคัญของจำเลยที่ ๒ ประทับไว้ด้วย อันอาจถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้สลักหลังเช็ค จำเลยที่ ๓ ก็ยังต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๐๑ ประกอบด้วยมาตรา ๘๙๘ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องเฉพาะตัวจำเลยที่ ๓
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ ๑ ผู้สั่งจ่าย ที่จำเลยที่ ๓ สลักหลังเช็คโอนให้โจทก์นั้นจำเลยที่ ๓ กระทำในฐานะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนิติบุคคล โดยได้ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทถูกต้องตามตราสารที่จดทะเบียนไว้ และไม่ปรากฏว่าเป็นการกระทำนอกขอบวัตถุที่ประสงค์ของบริษัทจำเลยที่ ๒ ดังนั้นการกระทำของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นการแสดงความประสงค์ของนิติบุคคลโดยทางผู้แทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๕ อันอาจกล่าวได้ว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ ๒ เอง โดยเฉพาะเช็คพิพาททั้งห้าฉบับจำเลยที่ ๓ ได้ลงลายมือชื่อสลักหลังและประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ ๒ ลงบนลายมือชื่อ แสดงให้เห็นเจตนาโดยชัดแจ้งว่ากระทำในนามของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนิติบุคคล แม้มิได้เขียนแถลงว่ากระทำการแทนจำเลยที่ ๒ ก็พอเข้าใจได้แล้ว ไม่ทำให้การกระทำในฐานะผู้แทนนิติบุคคลกลับกลายเป็นส่วนตัวจำเลยที่ ๓ จึงหาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวไม่
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ