โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนของโจทก์ได้เบียดบังเอาที่ดินรวม ๗ โฉนด ซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ไป และจำเลยได้กระทำผิดหน้าที่ซึ่งโจทก์ได้มอบหมายให้จำเลยลงชื่อทางทะเบียนกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ และได้มอบโฉนดที่ดินและที่ดินให้จำเลยยึดถือครอบครองแทนโจทก์เพื่อสะดวกในการจัดการค้าขายที่ดินของโจทก์ โดยจำเลยเอาที่ดินดังกล่าวไปทำสัญญาขายฝากไว้แก่ผู้มีชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า สิทธิครอบครอบที่พิพาทอยู่กับโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ การที่จำเลยเอาที่พิพาทไปขายฝาก จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ จำเลยไม่ได้รับมอบหมายให้จัดการที่พิพาทอย่างใด ที่จำเลยเอาที่พิพาทไปขายฝากจะถือว่าผิดหน้าที่ไม่ได้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๓ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โฉนดอยู่ในความครอบครองของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย ๑ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติแล้วว่า จำเลยไม่ได้ครอบครองที่พิพาท เป็นการไม่ชอบ พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ให้ถูกต้อง
ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาใหม่แล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดย่อมหมายถึงจำเลยมีสิทธิทั้งหลายรวมทั้งสิทธิครอบครองที่พิพาทในทางทะเบียน แต่จำเลยลงชื่อไว้แทนโจทก์ จึงเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว จำเลยจะได้เข้าไปครอบครองที่พิพาทจริงจังหรือไม่นั้น มิใช่ข้อที่จะต้องนำมาพิจารณา พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ ให้จำคุก ๑ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๑๒ จำเลย นายบรรจบ สงวนเชื้อ และนายวินัย แจ้วจิรา ได้เข้าหุ้นส่วนกันซื้อถนนซอยเกษสุวรรณ โดยมีโครงการว่าจะซื้อที่ดินติดกับซอยเกษสุวรรณมาจัดสรรแบ่งขายหากำไรต่อไป แล้วจำเลยได้ซื้อที่ดินและทำสัญญาวางเงินมัดจำจะซื้อที่ดินที่ติดกับซอยดังกล่าวไว้หลายแปลง ในนามของหุ้นส่วน เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๑๒ นายวินัย แจ้วจิรา ได้ขายหุ้นให้แก่นายอำพล ปทุมาสูตร ที่ดินที่จำเลยซื้อมาดังกล่าว จำเลยได้ไปขอแบ่งแยกต่อสำนักงานที่ดินเป็นแปลงเล็กประมาณ ๓๐ แปลง เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๑๓ จำเลย นายบรรจบ และนายอำพล ได้จดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ขึ้น ต่อมาจำเลยได้ไปจัดการโอนที่ดินที่ขอแบ่งแยกใส่ชื่อจำเลยในโฉนดพิพาท แล้วจำเลยได้นำที่ดินโฉนดพิพาทไปขายฝากนางพีรัชต์ สุจริตกุล และนางเปรมจิตต์ จามรจันทร์ ที่จำเลยลงชื่อในโฉนดพิพาทนั้น เป็นการลงชื่อแทนโจทก์ โดยจำเลยมิได้เข้าไปเกี่ยวข้องครอบครองที่พิพาท ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ นั้น นอกจากจะมีการเบียดบังเอาทรัพย์ไปโดยทุจริตแล้ว จะต้องได้ความด้วยว่าผู้ที่เบียดบังนั้นได้ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่าจำเลยเป็นแต่เพียงมีชื่อในโฉนดพิพาทแทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อันแท้จริงเท่านั้น โดยจำเลยมิได้เข้าเกี่ยวข้องครอบครองที่ดินโฉนดพิพาทแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นตามความหมายแห่งมาตรา ๓๕๒ การกระทำของจำเลยไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานยักยอก จึงยังไม่มีความผิดตามฟ้อง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์