คดีสืบเนื่องจากจำเลยไม่ชำระหนี้เงินตามคำพิพากษาให้โจทก์ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยจำนวน ๒๐ โฉนด เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๙ ถึงวันนัดโจทก์ยื่นคำแถลงขอเลื่อนการขายไปอ้างว่าสำนักงานใหญ่ของโจทก์ต้องการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยโฉนดที่ ๙๗๒ และโฉนดที่ ๒๒๘๕ ถึง ๒๒๙๓ รวม ๑๐ โฉนด คราวเดียวกัน แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กำหนดให้ขายแยกแปลง ศาลชั้นต้นยกคำแถลงของโจทก์โดยสั่งในรายงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ยื่นคำร้องในวันเดียวกันในเวลาต่อมาขอให้ขายที่ดิน ๑๐ โฉนดดังกล่าวรวมกันไป เพราะการขายเป็นรายแปลงจะมีปัญหาเรื่องทางออกสู่ถนนของที่ดินบางแปลง ศาลชั้นต้นสั่งว่าได้สั่งไปในรายงานของเจ้าหน้าที่และเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๙ ไม่มีเหตุจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายทอดตลาดไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้นและเสนอรายงานผลการประมูลซื้อทรัพย์ว่า ในการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ดิน ๒๐ แปลง ขายได้เพียง ๔ แปลง โดยที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๙๗๒ บริษัทเรือขุดแร่บุญสูง จำกัด (ผู้ร้อง) เป็นผู้ให้ราคาสูงสุด ๖๘๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๕๕๕ ถึง ๑๕๕๗ นายไมตรี เอี่ยมวรกุล เป็นผู้ให้ราคาสูงสุดแปลงละ ๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์และจำเลยต่างคัดค้านว่าราคาสูงสุดที่ขายได้ยังต่ำมาก ศาลชั้นต้นสั่งว่าราคาที่ขายทอดตลาดได้สูงกว่าราคาประเมินจึงอนุญาตให้ขายแก่ผู้สู้ราคาสูงสุด ที่ดินที่เหลืออยู่ประกาศขายใหม่
เฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๗๒ โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า การขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๗๒ แยกแปลงกับโฉนดเลขที่ ๒๒๘๕ ถึง ๒๒๙๓ ทำให้ราคาต่ำ และโจทก์เห็นว่าจำเลยยื่นคำแถลงคัดค้านว่า ราคาสูงสุดที่ดินโฉนดที่ ๙๗๒ ที่บริษัทเรือขุดแร่บุญสูง จำกัด ให้นั้นต่ำกว่าราคาที่แท้จริง ศาลชั้นต้นสั่งว่าราคาที่ขายได้สูงกว่าราคาประเมินแล้ว สมควรขายให้ผู้สู้ราคาสูงสุดไป ให้ยกคำแถลง
วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๒๙ โจทก์และจำเลยต่างยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ดินทั้ง ๔ แปลง แล้วประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ใหม่ทั้งหมด ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของโจทก์และจำเลยว่า ไม่มีเหตุจะสั่งเพิกถอน ให้ยกคำร้อง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำสั่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๗๒ ของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นประกาศขายใหม่ โดยให้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๗๒ รวมกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๒๘๕ ถึง ๒๒๙๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ จำเลยและผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของผู้ร้องที่ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งในคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๙ ที่ขอให้ขายที่ดิน ๑๐ แปลงรวมกันไปเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๙ นั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลที่จะเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๙ จะต้องเป็นกรณีที่ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาดร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรวมหรือแยกทรัพย์สิน หรือขอให้ขายทรัพย์สินนั้นตามลำดับที่กำหนดไว้ หรือร้องคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินตามมาตรา ๓๐๙ (๑) (๒) และ (๓) และเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำร้องหรือคำคัดค้านเช่นว่านั้น ผู้ร้องได้ยื่นคำขอต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องภายใน ๒ วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิเสธเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดในเรื่องนั้น คำสั่งชี้ขาดของศาลจึงจะเป็นที่สุด แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๗๒ รวมกับที่ดินแปลงอื่นรวม ๑๐ โฉนดในคราวเดียวกันต่อศาลชั้นต้นโดยตรงก่อนการขายทอดตลาดกรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๓๐๙ ดังกล่าว คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของโจทก์จึงยังไม่เป็นที่สุด ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น และวินิจฉัยต่อไปถึงปัญหาตามฎีกาของโจทก์ จำเลย ผู้ร้องที่ว่าสมควรให้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๗๒ รวมกับที่ดินอีก ๙ โฉนดหรือไม่ และปัญหาตามฎีกาของโจทก์และจำเลยว่ายังไม่สมควรขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๕๕ ถึง ๑๕๕๗ ให้แก่ผู้ซื้อ เพราะราคาต่ำไปหรือไม่ โดยฟังว่า คำขอของโจทก์ที่ขอให้รวมขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๗๒ กับเลขที่ ๒๒๘๕ ถึง ๒๒๙๓ มีเหตุผลสมควร น่าที่จะดำเนินการให้ตามที่โจทก์ขอ และสมควรที่จะสั่งเพิกถอนการขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๕๕ ถึง ๑๕๕๗
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำสั่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๕๕, ๑๑๔๖ และ ๑๑๕๗ ของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการขายใหม่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.