โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาของจำเลยที่ ๑จำเลยที่ ๑ เป็นภริยาของจำเลยที่ ๒ โจทก์ได้ยกที่ดิน ๒ แปลงให้จำเลย จำเลยบังอาจหมิ่นประมาทโจทก์ต่อหน้าบุคคลหลายคนว่า "มึงกับกูเลิกเป็นพ่อแม่กันแล้ว พ่อกูไม่มี กูไม่นับถือมึงว่าเป็นพ่อ" และกล่าวหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงว่า "บักเฒ่า ให้มึงระวังดี ๆ กูจะฟ้องมึงเข้าตะราง พ่อหมา ๆ แบบนี้" นอกจากนี้จำเลยยังได้กล่าวต่อบุคคลทั่วไปว่า จำเลยไม่ใช้ลูกโจทก์ โจทก์เป็นหมาโจทก์ไม่มีศีลธรรม และมีพฤติการณ์ข่มขู่โจทก์ เช่น ยิงปืนขู่ขึ้นฟ้า ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายเสียชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ง จำเลยได้ก้าวร้าวโจทก์ไม่มีสิ้นสุด เป็นการเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์จึงจะเรียกทรัพย์ที่ได้คืน ขอให้ศาลพิพากษาถอนคืนการให้ที่ดินแก่จำเลย ฯลฯ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยไม่ได้หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า คำที่จำเลยกล่าวตามที่โจทก์บรรยายในฟ้องไม่เป็นคำหมิ่นประมาทโจทก์และไม่ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการกล่าวขึ้นมึงกูต่อโจทก์ผู้เป็นบิดาจำเลยที่ ๑ ไม่นับถือโจทก์ว่าเป็นบิดา เปรียบโจทก์ว่าเป็นสุนัขและว่าโจทก์เป็นคนเลวไม่มีศีลธรรม ทั้งว่าจะฟ้องให้ต้องโทษถึงจำคุกให้โจทก์เสียชื่อเสียงและเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ซึ่งโจทก์ย่อมฟ้องเพิกถอนการให้เพราะเหตุเนรคุณได้
พิพากษายืน
(ล้วน นิลกำแหง วิทูร เทพพิทักษ์ ปรีชา สุมาวงศ์)