โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์และฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๒๘๘,๒๘๙,๓๔๐
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงนายเอนกโดยเจตนาฆ่า ส่วนข้อหาปล้นทรัพย์พยานโจทก์ไม่เห็นจำเลยกับพวกเอาทรัพย์ไป พิพากษาว่าจำเลยความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘,๘๓ ให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ก่อนที่ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอถอนอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์ได้ ให้ส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา มาตรา ๒๔๕
ศาลอุทธรณ์ปรึกษาแล้วเห็นว่า พยานโจทก์ทั้งปวงตกอยู่ในความสงสัยว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาว่า เมื่อจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ดังกล่าวและศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์ได้ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมเด็ดขาด คดีถึงที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐๒ หรือว่าคำพิพากษาคดีนี้จะยังไม่ถึงที่สุด ซึ่งศาลชั้นต้นยังมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๕๕ เป็นปัญหาข้อนี้แม้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้
ปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาได้พิจารณาโดย ที่ประชุมใหญ่แล้ว มีมติว่า ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๕๕ วรรคสอง
ส่วนข้อเท็จจริงศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ไม่มั่นคงให้เชื่อได้แน่ว่าจำเลยได้กระทำผิด
พิพากษายืน
(สนับ คัมภีรยส รื่น วิไลชนม์ สมชัย ทรัพยวณิช)