โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไป พร้อมส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราปีละ 6,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินเสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามฟ้องแย้ง เนื้อที่ทั้งหมด 2 งาน 89 ตารางวา ของโจทก์ โดยเปลี่ยนแปลงให้จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์และให้จำเลยเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน และหรือหากทางพิจารณาศาลมีความเห็นว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเดิมและจำเลยต้องชดใช้ราคาที่ดินให้แก่เจ้าของเดิมทั้งสามโดยหักกลบลบหนี้ต่อกัน จำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายโดยการแผ้วถางป่าจนโล่งเตียน ปรับปรุงถมดินปลูกสร้างบ้านพักอาศัยถาวรเสร็จแล้วเป็นเวลา 5 ปี จำเลยลงทุนในที่ดินรวม 2,400,000 บาท และเสียค่าบำรุงรักษาต้นไม้ ปราบวัชพืชเป็นเงิน 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,550,000 บาท กรณีถือว่าหลังจากที่จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ค่าราคาที่ดินได้เพิ่มจากเดิม ซึ่งเดิมที่ดินพิพาทตามฟ้องแย้งเนื้อที่ 2 งาน 89 ตารางวา มีราคาตามท้องตลาดประมาณเพียง 350,000 บาท ถึง 400,000 บาท ขอให้นำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาพิจารณาในการหักกลบลบหนี้
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกร้อยตำรวจตรีสุวิทย์ และนายวีรพล เข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกร้อยตำรวจตรีสุวิทย์ และนายวีรพลเข้าเป็นจำเลยร่วม โดยให้เรียกร้อยตำรวจตรีสุวิทย์ว่า จำเลยร่วมที่ 1 และเรียกนายวีรพลว่า จำเลยร่วมที่ 2
จำเลยร่วมทั้งสองให้การและให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 55645 เนื้อที่ 80 ตารางวา ที่พิพาทตามฟ้องของโจทก์ ห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายปี ปีละ 6,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 กรกฎาคม 2558) ไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินเสร็จสิ้น กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และจำเลยร่วมทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความฝ่ายละ 6,000 บาท ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยในข้อที่ขอหักกลบลบหนี้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้โจทก์ 100 บาท คืนค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนให้จำเลย 430 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งส่วนฟ้องและฟ้องแย้งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยร่วมทั้งสองและนางระพี ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเพื่อเป็นการชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลย โจทก์รู้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ และค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดสูงเกินควรนั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยในส่วนฟ้องของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 55645 เนื้อที่ประมาณ 80 ตารางวา ของโจทก์ และขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 6,000 บาท นับจากวันฟ้อง จำเลยให้การว่า จำเลยอยู่ในฐานะเป็นผู้ที่จะได้รับการจดทะเบียนอยู่ก่อน โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต และขอให้ยกฟ้อง เป็นการต่อสู้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์เนื้อที่ 80 ตารางวา ซึ่งมีราคา 184,800 บาท ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 6,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง ค่าเสียหายในอนาคตส่วนนี้ไม่อาจนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ได้ คดีตามฟ้องโจทก์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยในส่วนฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย สำหรับฎีกาของจำเลยในส่วนฟ้องแย้งนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 55645 เดิม ซึ่งมีเนื้อที่ 2 งาน 89 ตารางวา จำเลยจึงเป็นผู้อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนของที่ดินทั้งแปลง จำเลยมีสิทธิดียิ่งกว่าโจทก์ และจำเลยฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วม ซึ่งการซื้อขายที่ดินดังกล่าวนั้นเป็นการซื้อขายที่ดินทั้งแปลงเนื้อที่ 2 งาน 89 ตารางวา หาใช่เพียง 80 ตารางวา ไม่ ที่ดินพิพาทตามฟ้องแย้งจึงมีเนื้อที่ 2 งาน 89 ตารางวา คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในส่วนนี้ชอบแล้ว
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องแย้ง โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิดีกว่า จำเลยฎีกาว่า จำเลยร่วมทั้งสองและนางระพียกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยเพื่อหักกลบลบหนี้ค่าจ้างว่าความ โดยตกลงว่าหลังจากไถ่ถอนการขายฝากจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยไม่มีบุคคลใดโต้แย้ง โจทก์ทราบว่าจำเลยปลูกสร้างบ้านบนที่ดินพิพาท แต่โจทก์ก็ซื้อที่ดินพิพาทและแบ่งที่ดินพิพาทเป็นแปลงย่อย ๆ โจทก์ไม่สุจริต โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ก่อนซื้อโจทก์ตรวจสอบหลักฐานทางทะเบียนกับเจ้าพนักงานที่ดินและไปดูที่ตั้งที่ดินพิพาทพบว่ามีบ้านที่ปลูกอยู่ สอบถามว่าเป็นบ้านของบุตรเขยจำเลยร่วมที่ 2 ที่เข้ามาอยู่โดยถือวิสาสะอาศัยสิทธิจำเลยร่วมที่ 2 และหากจำเลยร่วมที่ 2 จะใช้ประโยชน์เมื่อใด จำเลยจะรื้อถอนบ้านออกไป ส่วนจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยร่วมที่ 2 ติดต่อให้จำเลยเป็นทนายความในการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากนางรำไพ พี่สาวร่วมบิดาเดียวกันกับนางระพี แต่จำเลยเลยร่วมทั้งสองไม่มีเงินค่าว่าจ้าง จำเลยร่วมทั้งสองจึงตกลงยกที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 งาน 89 ตางรางวา โดยคิดราคาที่ดินวันส่งมอบเป็นเงิน 400,000 บาท ให้แก่จำเลย และสัญญาว่าหลังจากไถ่ถอนการขายฝากจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย การชำระราคาที่ดินให้หักกลบลบหนี้ต่อกัน ส่วนหนี้ค่าจ้างว่าความที่ค้างชำระให้ผ่อนชำระแก่จำเลยภายหน้า ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 นางระพีและจำเลยร่วมทั้งสองสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลย จำเลยเข้าครอบครองโดยแผ้วถาง ถมดิน ปลูกบ้าน 1 หลัง ปลูกไม้ยืนต้นและผักสวนครัวเต็มพื้นที่ โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน จำเลยร่วมที่ 2 และนางระพีทำหนังสือยินยอมให้จำเลยปลูกสร้างบ้านพักอาศัย จำเลยร่วมทั้งสองอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อปลายปี 2553 จำเลยร่วมที่ 2 ติดต่อจำเลยให้ว่าความเป็นเหตุให้จำเลยรู้จักกับนางสาวพันทิพย์ บุตรสาวของจำเลยร่วมที่ 2 ขณะนั้นนางสาวพันทิพย์อายุ 17 ปี จำเลยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับนางสาวพันทิพย์ จำเลยจึงเสนอว่าจะว่าความให้โดยไม่คิดเงินแลกกับการไม่ดำเนินคดีแก่จำเลย หลังจากจำเลยเข้ามาอยู่ที่บ้านจำเลยร่วมที่ 2 กับนางสาวพันทิพย์ จำเลยขอแยกไปสร้างบ้านอยู่บนที่ดินพิพาทตามฟ้อง จำเลยร่วมทั้งสองแจ้งว่าที่ดินติดขายฝาก จำเลยจึงบอกว่าจะดำเนินการเอง หลังจากสร้างบ้านจำเลยได้เลิกร้างกับนางสาวพันทิพย์ไป จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงว่าได้ที่ดินพิพาทมาจากการหักกลบลบหนี้ค่าว่าความ หรือมีหลักฐานแสดงถึงข้อตกลงระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมทั้งสองที่จะไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทหลังจากไถ่ถอนการขายฝากมา โดยจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ หลังจากส่งมอบที่ดินประมาณ 1 เดือน มีการทำสัญญาจ้างว่าความ แต่สัญญาจ้างว่าความไม่มีบันทึกว่ามีการส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทไว้ อันผิดวิสัยของบุคคลที่ประกอบอาชีพทนายความดังเช่นจำเลยที่ย่อมต้องรู้ว่าข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรให้ชัดเจนเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐาน ทั้งในคดีที่จำเลยยื่นฟ้องจำเลยร่วมทั้งสองและนางสาวนพวรรณ ในฐานะทายาทโดยธรรมของนางระพี ก็ไม่ปรากฏในทางนำสืบและข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความว่าจำเลยร่วมทั้งสองตกลงยกที่ดินให้จำเลยเพื่อหักกลบลบหนี้กับค่าจ้างว่าความ แม้จำเลยจะมีคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารและหนังสือยินยอมให้ปลูกสร้างอาคารบนที่ดินมาแสดง แต่เอกสารดังกล่าวก็ล้วนทำขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2554 หลังจากจำเลยร่วมทั้งสองนำที่ดินพิพาทไปขายฝากแล้ว จำเลยร่วมทั้งสองย่อมไม่มีอำนาจอนุญาตให้จำเลยปลูกสร้างบ้านบนที่ดินพิพาทได้ พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อย ส่วนจำเลยร่วมทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากับบุตรสาวจำเลยร่วมที่ 2 และจำเลยตกลงว่าความให้โดยไม่คิดเงินเพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี จำเลยขอปลูกบ้านชั่วคราวในที่ดินพิพาทเพื่ออยู่กับบุตรสาวจำเลยร่วมที่ 2 โดยจำเลยเองก็เบิกความยอมรับเจือสมว่า จำเลยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับบุตรสาวจำเลยร่วมที่ 2 แต่อยู่ด้วยกันลักษณะไป ๆ มา ๆ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่า จำเลยร่วมทั้งสองให้จำเลยปลูกบ้านเพื่ออยู่กินกับบุตรสาวจำเลยร่วมที่ 2 ซึ่งขณะนั้นที่ดินพิพาทได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายตะวันฉายแล้วตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2554 การที่นางระพีและจำเลยร่วมทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทจึงถือว่าเป็นการครอบครองแทนนายตะวันฉาย จำเลยร่วมทั้งสองอนุญาตให้ปลูกบ้านอยู่ การเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงย่อมถือว่าเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธินางระพีและจำเลยร่วมทั้งสอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิมากไปกว่าสิทธิของนางระพีและจำเลยร่วมทั้งสอง จึงถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนนายตะวันฉายด้วยเช่นกัน เมื่อนายตะวันฉายโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลย มีอำนาจฟ้องจำเลยให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้หักกลบลบหนี้เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์นั้น เห็นว่า คดีในส่วนฟ้องโจทก์มีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่เท่านั้น ซึ่งหากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่า หากจำเลยต้องชดใช้ราคาที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดินเดิมก็ขอให้นำค่าใช้จ่ายที่จำเลยได้ก่อสร้างลงบนที่ดินพิพาทและค่าราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นมาขอหักกลบลบหนี้นั้น เป็นกรณีที่ศาลจะต้องรับฟังข้อเท็จจริงต่อไปอีกว่าเจ้าของที่ดินเดิมกับจำเลยต่างมีหนี้สินต่อกันที่สามารถนำมาหักกลบลบหนี้กันได้หรือไม่และเพียงใด อันเป็นมูลหนี้มาจากนิติกรรมสัญญาซึ่งมิได้เกี่ยวกับฟ้องเดิมที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้หักกลบลบหนี้จึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยในส่วนฟ้องของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนฟ้องของโจทก์ให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ