คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 13/1 หมู่ที่ 2 ตำบลไกรใน อำเภอกงไกรลาศจังหวัดสุโขทัย ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า บ้านเลขที่ 13/1 ที่โจทก์นำยึดเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องที่สร้างมาประมาณ 5 ปี และผู้ร้องอยู่อาศัยบ้านหลังดังกล่าวตลอดมา เมื่อ พ.ศ. 2527 จำเลยแต่งงานกับบุตรสาวของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงต่อเติมบ้านบางส่วนให้จำเลยและบุตรสาวอาศัยอยู่ด้วยกัน ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า บ้านที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เป็นของจำเลย เมื่อประมาณ พ.ศ. 2527 จำเลยแต่งงานกับบุตรสาวผู้ร้องจำเลยปลูกบ้านหลังดังกล่าวเป็นเรือนหออยู่อาศัยกับภริยาในที่ดินของผู้ร้องโดยผู้ร้องยินยอมให้ปลูกสร้างลงในที่ดินได้ และปัจจุบันจำเลยก็อาศัยอยู่บ้านเรือนดังกล่าว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การสร้างบ้านพิพาทเป็นการต่อเติมออกไปจากบ้านของผู้ร้อง โดยทำการต่อเติมเสร็จ เมื่อ พ.ศ. 2527และใช้เลขที่บ้านเดียวกันคือเลขที่ 13/1 หมู่ที่ 2 ซึ่งตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ร.1 ระบุว่าเป็นบ้านของผู้ร้องในการสู่ขอบุตรสาวผู้ร้องผู้ร้องเรียกทอง 2 บาท และเรือนหอ 1 หลังผู้ร้องให้สร้างเรือนหอต่อจากบ้านผู้ร้องไป ค่าใช้จ่ายในการที่จำเลยแต่งงานนั้นใช้ไปประมาณ 60,000 บาทเศษ เงินดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์ที่ช่วยออกให้จำเลย ซึ่งตามประเพณีเรือนหอนั้นสร้างให้เพื่อตอบแทนที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงให้ลูกสาวแต่งงาน เรือนหอจะสร้างตรงไหนอย่างไรขึ้นอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายผู้หญิง จะเห็นได้ว่าความหมายของเรือนหอก็คือเป็นสินสอดที่ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายเจ้าบ่าวมอบแก่บิดามารดาของเจ้าสาว จากพยานหลักฐานดังกล่าวข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้จัดสร้างเรือนหอให้แก่จำเลยและบุตรสาวของผู้ร้อง เรือนส่วนที่จำเลยและบุตรสาวของผู้ร้องใช้อยู่อาศัยหลังแต่งงานย่อมตกเป็นของผู้ร้องเพราะมีลักษณะเป็นสินสอด ซึ่งต้องตกได้แก่ผู้ร้องมิได้เป็นทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์จะบังคับคดียึดไปขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ร้องจึงร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์ยึดไว้ได้
พิพากษายืน