คดีสืบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาด เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๖ และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ผู้ร้องกับพวกได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างอาคารกับจำเลยที่ ๑ผู้ร้องกับพวกชำระเงินให้จำเลยที่ ๑ บางส่วนแล้ว เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๑เด็ดขาด ผู้ร้องกับพวกยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อให้ปฏิบัติตามสัญญาแทนจำเลยที่ ๑ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยำคำร้องของผู้ร้องกับพวก ผู้ร้องกับพวกฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งกลับคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้น มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องกับพวกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องกับพวกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ ให้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างอาคารกับจำเลยที่ ๑ และผู้ร้องทั้งสามได้ชำระเงินบางส่วนให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้ว ผู้ร้องที่ ๑ คงค้างชำระเงินตามสํญญาจำนวน๒๑๔,๓๗๐ บาท ผู้ร้องที่ ๒ คงค้างชำระเงินตามสัญญาจำนวน ๑๙๒,๐๐๐ บาท และผู้ร้องที่ ๕ ค้างชำระเงินตามสัญญาจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ ยังไม่ได้โอนที่ดินให้แก่ผู้ร้องทั้งสามตามสัญญา กลับนำที่ดินตามสัญญาดังกล่าวและที่ดินแปลงอื่น ๆ รวม ๓๑ โฉนดไปจดทะเบียนจำนองไว้ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เงินสากลจำกัด เป็นประกันในวงเงิน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๑เด็ดขาดบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เงินทุนสากล จำกัด ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันโดยขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนอง และขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนเงินที่ขาดอยู่จากยอดหนี้ จำนวน๑๐,๕๘๙,๖๘๗.๘๘ บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๖(๓)ศาลชั้นต้นอนุญาต มีปัญหาในชั้นฎีกาว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านจะปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ ทำไว้กับจำเลยที่ ๑ ได้หรือไม่ เห็นว่ากรณีนี้ จำเลยที่ ๑ มีสิทธิที่จะได้รับเงินจากผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ ร่วมกันเป็นเงิน๕๐๖,๓๗๐ บาท แต่ที่ดินพิพาทและที่ดินแปลงอื่น ๆ รวม ๓๑ โฉนด ได้จดทะเบียนจำนองรวมกันเป็นเงิน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท และผู้รับจำนองขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวซึ่งเป็นสิทธิของผู้รับจำนองในฐานะเจ้าหนี้มีประกันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านเพียงแต่มีหน้าที่ขายทรัพย์โดยปลอดจำนองเพื่อนำเงินไปชำระหนี้จำนองเท่านั้น การที่ต้องขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่า จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถไถ่ถอนจำนองที่จะต้องใช้เงินจำนวนมาก และเมื่อพิเคราะห์ดูสิทธิตามสัญญาที่จำเลยที่ ๑ จะได้รับจากผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ แล้วเห็นว่าเป็นเงินจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับความยุ่งยากหรือภาระที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาจึงเป็นกรณีที่สิทธิตามสัญญามีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่จะพึงได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านมีอำนาจที่จะไม่ยอมรับทรัพย์สินหรือสิทธิตามสัญญษนั้นได้ โดยบอกเลิกสัญญาเสียทั้งฉบับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๒๒ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๕ ชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.