โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบียดบังยักยอกเงินจำนวน ๕๔,๓๓๒.๒๕ บาท ของผู้เสียหายไปเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยสุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๓ และให้คืนเงินแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๓ ลงโทษตามมาตรา ๓๕๓ จำคุก ๑๐ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๕ เดือน ปรับ ๑,๐๐๐ บาท รอการลงโทษจำคุก ๑ ปี ปรากฎว่าจำเลยได้ใช้เงินที่จำเลยยักยอกไปให้โจทก์ร่วมแล้ว จึงไม่ต้องสั่งคำขอให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ร่วมอีก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากาษยืน
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ร่วมเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับฎีกา
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลฎีกาสั่งว่า ฎีกาโจทก์ร่วมเป็นปัญหาข้อเท็จจริง รับฎีกาเฉพาะคดีส่วนแพ่ง และศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ ซึ่งศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมประกอบกับคำรับของจำเลยฟังได้เพียงว่า จำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไปใช้ในกิจการอื่นแต่ได้ชดใช้ให้โจทก์ร่วมครบถ้วนแล้ว ฉะนั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ร่วมอีก
พิพากษายืน