โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินตามสัญญาซื้อขายที่ดินมีโฉนด ต่อมาจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินแก่โจทก์เป็นงวด ๆ แต่ก็ผิดนัดศาลจึงออกหมายบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยตามคำขอของโจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับจำเลยแปลงซึ่งถูกยึด ๕๔ ตารางวา ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินส่วนของผู้ร้องและปลูกบ้านอยู่อาศัยเป็นส่วนสัดมาเป็นเวลากว่า ๓๗ ปีแล้ว จำเลยและผู้ร้องได้ตกลงแบ่งแยกโฉนดเป็นส่วนที่ผู้ร้องและส่วนของจำเลย เจ้าพนักงานได้ดำเนินการแบ่งแยกส่วนของผู้ร้องและจำเลยแล้ว เพียงแต่รอคำสั่งให้ไปจดทะเบียนขอรับโฉนดที่แบ่งแยกไว้เท่านั้น ขอให้ศาลมีคำสั่งให้แบ่งส่วนหรือกันส่วนของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗ เป็นเนื้อที่ ๕๔ ตารางวา และจำหน่ายเฉพาะส่วนที่เป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของผู้ร้องว่า "ตามคำร้องเป็นกรณีที่ผู้ร้องควรร้องขัดทรัพย์เข้ามา ให้ยกคำร้อง ค่าธรรมเนียมเป็นพับ"
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า สำหรับปัญหาที่ว่าผู้ร้องชอบที่จะร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘ หรือร้องขอให้ศาลแบ่งส่วนหรือกันส่วนตามมาตรา ๒๘๗ นั้น เห็นว่า การร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘ นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ แต่จากข้อเท็จจริงที่บรรยายในฟ้องและคำร้องของผู้ร้องประกอบกับสารบัญจดทะเบียนท้ายสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๒๐ ท้ายคำร้อง ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๔ หม่อมหลวงสุรพันธ์ โจทก์ที่ ๑ นายเฉียบ โจทก์ที่ ๒ ได้โอนขายเฉพาะส่วนของตนให้แก่ร้อยตำรวจโทมนตรี จำเลยและในวันเดียวกันจำเลยได้จดทะเบียนให้โจทก์ทั้งสองมีบุริมสิทธิในที่ดินของจำเลยสำหรับจำนวนเงินที่ยังค้างชำระ โฉนดที่ดินเลขที่ ๓๒๐ ดังกล่าวจึงมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ดังนั้น ผู้ร้องจะร้องขัดทรัพย์โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเพื่อให้ศาลปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามที่ศาลล่างวินิจฉัยหาได้ไม่ ผู้ร้องซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๒๐ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไว้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลแบ่งส่วนหรือกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗
แต่ในการร้องขอกันส่วนหรือแบ่งส่วนของผู้ร้องนั้น ผู้ร้องจะขอให้กันหรือแบ่งที่ดินส่วนของผู้ร้องเนื้อที่ ๕๔ ตารางวา ออกโดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายเฉพาะส่วนของจำเลยจะได้หรือไม่ เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องอ้างว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๐ ซึ่งผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมอยู่ ๑ ใน ๓ คิดเป็นเนื้อที่ ๕๔ ตารางวานั้นเปป็นส่วนของผู้ร้องครอบครองเป็นส่วนสัดทางด้านทิศตะวันตกและทิศใต้บางส่วนโดยผู้ร้องปลูกบ้านพักอาศัยมา ๓๗ ปีแล้ว และเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๕ จำเลยและผู้ร้องได้ตกลงแบ่งแยกโฉนดออกเป็นส่วนของผู้ร้องเนื้อที่ ๕๔ ตารางวา ส่วนของจำเลย ๑๐๓ ตารางวา ทั้งยังแบ่งส่วนที่จำเลยและผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ๓ ตารางวาเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ เจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการแบ่งแยกโฉนดเสร็จแล้วเหลือเพียงแต่รอคำสั่งให้ไปจดทะเบียนรับโฉนดที่แบ่งแยกเท่านั้นซึ่งถ้าหากข้อเท็จจริงได้ความตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๐๒ ได้มีการตกลงแยกกรรมสิทธิ์ส่วนของเจ้าของรวมเป็นที่แน่นอนแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไม่มีอำนาจที่จะขายส่วนที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๑๒/๒๕๑๐
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี