โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงกาญจนา โดยใช้มีดขู่และบังคับไม่ให้ขัดขืน ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาโจทก์แถลงว่าฟ้องคดีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกาว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน มาตรา ๒๔ ทวิ บัญญัติให้ยื่นฟ้องภายใน ๓๐ วัน ถ้าเกิน ๓๐ วัน ต้องขออนุญาตต่ออธิบดีกรมอัยการ คดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อเกิน ๓๐ วันแล้ว และมิได้ขออนุญาตต่ออธิบดีกรมอัยการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์และจำเลยไม่ได้แถลงคัดค้านว่า ขณะถูกจับกุมจำเลยมีอายุ ๑๗ ปีเศษ พนักงานสอบสวนจึงส่งตัวจำเลยไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง ต่อมาจำเลยมีอายุเกิน ๑๘ ปี พนักงานสอบสวนจึงส่งตัวจำเลยไปยังพนักงานอัยการและฟ้องเป็นคดีนี้ และโจทก์แถลงรับว่าในการฟ้องคดีนี้ โจทก์มิได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการ นอกจากนี้แล้ว ตามคำร้องขอฝากขังจำเลยก็ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวจำเลยเป็นผู้ต้องหาตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๒๕ ต่อมาวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๒๕ ได้ส่งตัวจำเลยไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลาง และต่อมาเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๒๕ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กได้ส่งตัวจำเลยคือพนักงานสอบสวนเนื่องจากจำเลยมีอายุเกิน ๑๘ ปี พนักงานสอบสวนจึงขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฝากขังจำเลยมีกำหนด ๑๒ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๕ ถึงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๒๖ และต่อมาได้ขอฝากขังอีกครั้งหนึ่งตั้งแต่วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๖ ถึงวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๒๖ ก่อนครบกำหนดฝากขังโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๒๖จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ฟังได้ว่าการควบคุมตัวจำเลยในระหว่างสอบสวนเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีปัญหาในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์แต่อย่างใด
พิพากษายืน.