โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๙๑, ๑๕๗, ๑๖๑, ๑๖๒, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๓๔๑ ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๔๖๕/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น และให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๔๑,๔๙๗.๑๒ บาท แก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๙๑, ๑๕๗, ๑๖๑, ๑๖๒, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๓๔๑ เรียงกระทงลงโทษความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบปลอมและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ฉ้อโกง ให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา ๒๖๖ ให้จำคุกกระทงละ ๓ ปี รวม ๑๗๐ กระทงเป็นจำคุก ๕๑๐ ปี ฐานฉ้อโกงอีก ๑ กระทง ให้จำคุก ๑ ปีคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘คงจำคุกจำเลย ๓๔๐ ปี ๘ เดือนแต่เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ (๒) บัญญัติว่า เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนด ๒๐ ปี จึงให้จำคุกจำเลยมีกำหนด๒๐ ปี ให้จำเลยคืนเงินจำนวน ๔๐,๔๙๗ บาท ๑๒ สตางค์ แก่เจ้าของส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๔๖๕/๒๕๒๖ หมายเลขแดงที่ ๗๖๒/๒๕๒๗ นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง จึงไม่อาจนับโทษต่อให้ได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ได้ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๔๖๕/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น เมื่อปรากฏตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๔๖๕/๒๕๒๖ หมายเลขแดงที่ ๑๗๖๒/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น ที่โจทก์ขอให้นับโทษคดีนี้ต่อ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์เป็นว่าให้ลงโทษจำคุกจำเลยและศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเวลาเดียวกันกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีนี้แต่คนละบัลลังก์กัน ทำให้โจทก์ไม่อาจยื่นคำแถลงให้ศาลชั้นต้นทราบได้ทัน จำเลยมิได้แก้อุทธรณ์ของโจทกืให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อแล้ว ต้องนับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากคดีดังกล่าวพิพากษาแก้เป็นให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๔๖๕/๒๕๒๖ หมายเลขแดงที่ ๑๗๖๒/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า '...คงมีปัญหาในชั้นฎีกาว่าจะนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๗๖๒/๒๕๒๗ของศาลชั้นต้น ได้หรือไม่ เห็นว่าคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๕๒๗/๒๕๓๐ ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรีโจทก์ จ่าสิบเอกเจริญชัย พราหมณ์น้อย จำเลย โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๖๑, ๒๖๖ ให้ลงโทษบทหนักตามมาตรา ๒๖๖ การกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกระทงรวม ๗๑ กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ ๑ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลย ๒๐ ปี ตามมาตรา ๙๑ (๒) คดีดังกล่าวาและคดีนี้เป็นเรื่องทุจริตเงินบำนาญพิเศษจากส่วนราชการเดียวกัน เพียงแต่อ้างชื่อผู้มีสิทธิรับบำนาญพิเศษต่างรายกัน หน่วยราชการซึ่งเป็นผู้เสียหายก็รายเดียวกัน โจทก์อ้างฟ้องจำเลยสำหรับการกระทำผิดคดีนี้และคดีที่ขอให้นับโทษคดีนี้ต่อเป็นคดีเดียวกันได้เพราะจำเลยเป็นคนเดียวกันและพยานหลักฐานน่าจะเป็นชุดเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าโจทก์แยกฟ้องจำเลยแต่ละกระทงความผิดเป็นรายสำนวนไปและศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีทุกสำนวนรวมกัน ศาลก็จะลงฌโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ เมื่อโจทก์แยกฟ้องคดีนี้กับคดีที่ขอให้นับโทษคดีนี้ต่อโดยศาลมิได้สั่งรวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันแล้วศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมโดยจำคุกจำเลยเต็มตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๙๑ ทั้งสองสำนวนแล้ว ศาลก็นับโทษจำเลยต่อกันไม่ได้เพราะจะทำให้จำเลยต้องรับโทษเกินกำหนดที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ บัญญัติไว้ และเมื่อปรากฏว่าคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โดยศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลย ๒๐ ปี เต็มตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๙๑ จำเลยก็จะได้รับโทษจำคุกในคดีนั้นรวมกับโทษในคดีนี้เกินกำหนดดังกล่าวไม่ได้ เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๙๑...'
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่นับโทษจำคุกจำเลยคดีนี้ต่อจากโจทก์จำคุกในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และโทษจำคุกทั้งสองคดีที่จำเลยจะต้องได้รับไม่ให้เกิน ๒๐ ปี.