โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 6322 และ 6323 จำเลยเป็นเจ้าของสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1267 เดิมที่ดินของโจทก์จำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันซึ่งเป็นที่ดินของนายชั้น แพทย์ศาสตร์เมื่อประมาณ 20 ปี มาแล้ว นายชั้นแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์จำเลยโจทก์ได้ส่วนทางทิศเหนือ จำเลยได้ส่วนทางทิศใต้ และโจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยกว้าง 1 เมตร ยาว 100 เมตร เป็นทางเดินออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ถนนสายน้ำรัก-ชากไทย ต่อมาเมื่อประมาณ 15 ปี มานี้โจทก์และบริวารพร้อมกับเจ้าของที่ดินแปลงอื่นร่วมกันขยายเส้นทางผ่านที่ดินของจำเลยให้มีความกว้าง 3 เมตร ยาว 100 เมตร เพื่อใช้เป็นเส้นทางออกสู่ทางสาธารณประโยชน์เป็นเวลามากกว่า 10 ปี โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาให้เป็นทางภารจำยอม ครั้นวันที่ 13 สิงหาคม 2536 จำเลยนำเสาปูนซีเมนต์ 2 ต้น เสาไม้ 1 ต้น ปิดกั้นทางพิพาทดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์บอกกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นหรือทางจำเป็นอันตกเป็นภารจำยอมให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมภายใน 7 วัน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนซีเมนต์ 2 ต้น เสาไม้ 1 ต้น ที่ปิดกั้นออกไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินวันละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะสามารถนำรถยนต์ผ่านเข้าออกได้
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางกว้าง 3 เมตร ยาว 100 เมตรตลอดแนวที่ดินของจำเลยจากทิศเหนือจดทิศใต้ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.1 ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1267 ตำบลท่าหลวง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ของจำเลยเป็นทางจำเป็นตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 6322 และ 6323 ตำบลท่าหลวง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ของโจทก์ ให้จำเลยจดทะเบียนทางภารจำยอมต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยนำเสาปูนและเสาไม้ออกไปจากทางภารจำยอมดังกล่าว และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 2,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ทางกว้าง 3 เมตรยาวตลอดแนวที่ดินจากทิศเหนือจดทิศใต้ ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.1 ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1267 ตำบลท่าหลวง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ของจำเลยตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 6322 และ 6323 ตำบลท่าหลวง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ของโจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องเสียค่าทดแทน ให้จำเลยไปจดทะเบียนทางจำเป็นต่อเจ้าพนักงานที่ดินหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าทางพิพาทตกเป็นทางจำเป็นและเป็นทางจำเป็นอันตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทกว้าง 3 เมตร ยาว 100 เมตร บนที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นหรือทางจำเป็นอันตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ เป็นคำฟ้องที่ให้ศาลเลือกวินิจฉัยเอาจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบว่า จะเป็นทางประเภทใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าทางพิพาทตามความกว้างยาวดังกล่าวตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องเสียค่าทดแทน กรณีจึงไม่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่นั้นเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้พิจารณาข้อเท็จจริงในสำนวนและใช้ดุลพินิจเลือกวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ข้อใดข้อหนึ่งอันเป็นการตรงตามความประสงค์ของโจทก์แล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปอีกว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น อันตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นซึ่งโจทก์มีสิทธิใช้โดยอำนาจของกฎหมาย จึงไม่จำเป็นต้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนหรือไม่ เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1350 บัญญัติรับรองให้สิทธิแก่เจ้าของที่ดินซึ่งแบ่งแยกหรือแบ่งโอนมาจากที่ดินแปลงเดิมแล้วไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ให้มีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางจำเป็นบนที่ดินของจำเลยโดยอำนาจของกฎหมายจำเลยจึงไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนทางจำเป็นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีก
พิพากษาแก้เป็นว่า คำขอให้จำเลยไปจดทะเบียนทางจำเป็นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น ให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1