โจทก์ฟ้องว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ พันโทประวิทย์ วิสุทธิเสน ผู้เสียหายได้ตกลงว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. เพชรบุรีมอเตอร์ซ่อมรถยนต์ ๒ คันเป็นเงิน ๑๒,๕๐๐ บาท วันเกิดเหตุจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว บังอาจกระทำทุจริต หลอกลวงพันโทประวิทย์ วิสุทธิเสน ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.เพชรบุรีมอเตอร์ ต้องการเงินสดเพื่อไปซื้อเครื่องอะไหล่เกี่ยวกับการซ่อม ๕,๐๐๐ บาท ซึ่งความจริงห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวมิได้สั่งให้จำเลยมาเอาเงินจำนวนนั้น พันโทประวิทย์หลงเชื่อได้มอบเงิน๕,๐๐๐ บาทให้จำเลยไป จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาแล้ว ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๙๒
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษรับว่าเป็นความจริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ ให้จำคุก ๑ เดือน เพิ่มโทษจำเลยอีก ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๙๒คงจำคุก ๔๐ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พันโทประวิทย์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยได้หลอกลวงพันโทประวิทย์ให้หลงเชื่อว่าทางอู่ ส.เพชรบุรีมอเตอร์ให้จำเลยมาขอรับเงิน ๕,๐๐๐ บาท เพื่อไปซื้อเครื่องอะไหล่ในการซ่อมรถ พันโทประวิทย์จึงมอบเงินให้จำเลยไปจริงครั้นถึงกำหนดวันซ่อมรถเสร็จ พันโทประวิทย์ไปเอารถและนำเงินอีก๗,๕๐๐ บาทไปชำระให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.เพชรบุรีมอเตอร์ จึงรู้ว่านายอรัญผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวไม่ได้ใช้ให้จำเลยไปเอาเงินพันโทประวิทย์และนายอรัญจึงไปร้องทุกข์การกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อโกงพันโทประวิทย์โดยตรง ถือได้ว่าพันโทประวิทย์ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่จำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกงแล้ว จึงมีอำนาจร้องทุกข์ได้แม้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.เพชรบุรีมอเตอร์จะรับเงิน ๗,๕๐๐ บาทไว้และมอบรถให้พันโทประวิทย์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.เพชรบุรีมอเตอร์ ไม่เกี่ยวกับจำเลย และเงินที่จำเลยรับไปจากพันโทประวิทย์จะถือว่าเป็นเงินส่วนหนึ่งของการชำระหนี้ให้แก่อู่ ส.เพชรบุรีมอเตอร์ หาได้ไม่ และไม่ทำให้พันโทประวิทย์ผู้ถูกหลอกลวงพ้นจากการเป็นผู้เสียหาย จำเลยจึงต้องมีความผิดตามฟ้องโจทก์
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น