โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ในขณะเข้าจับจำเลยกับพวกในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ เพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยกับพวก โดยจำเลยกับพวกใช้กำลังประทุษร้ายฉุดกระชากและชกต่อยเจ้าพนักงาน เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140, 295, 296, 83คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม2519 ข้อ 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 3
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 140, 295, 296, 83 การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 138 140ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุก 1 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในเบื้องแรกว่าได้มีการจับกุมพวกของจำเลยที่ 1 ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยชอบหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์มีสิบตำรวจตรีบริหาร และสิบตำรวจโทบุญธรรม เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกา ขณะที่สิบตำรวจตรีบริหารอยู่ข้างสถานีตำรวจภูธรอำเภอเทิง มีรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าสีแดงบรรทุกเด็กวัยรุ่นประมาณ 20 คน แล่นมาตามถนนสายเชียงของ-เชียงคำ มาจอดอยู่กลางถนนซึ่งเป็นทางแยกและเป็นบริเวณห้ามจอดรถ สิบตำรวจตรีบริหารบอกให้ผู้ขับรถนำรถไปจอดข้างทาง คนขับรถเชื่อฟังแต่เด็กวัยรุ่นที่โดยสารมาในรถตะโกนใส่สิบตำรวจตรีบริหารว่า "ควยจับเราเรื่องอะไร แน่จริงให้ไล่จับ" แล้วคนขับก็ขับรถออกไป สิบตำรวจตรีบริหารขับรถจักรยานยนต์ตามไปทันบอกให้คนขับขับรถไปสถานีตำรวจภูธรอำเภอเทิง เด็กวัยรุ่นที่นั่งมาในรถประมาณ 10 คน กระโดดลงจากรถเข้ามาผลักอกสิบตำรวจตรีบริหารและมีการท้าชกต่อยกัน สิบตำรวจโทบุญธรรมซึ่งเห็นเหตุการณ์เข้าไปห้ามเห็นว่า ขณะที่สิบตำรวจตรีบริหารกับสิบตำรวจโทบุญธรรมจะเข้าจับกุมกลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกของจำเลยที่ 1 นั้นบุคคลทั้งสองไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจและไม่ได้แสดงตนว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งจะปฏิบัติตามหน้าที่แต่อย่างใด ทั้งไม่ปรากฏว่าได้แจ้งข้อหาแก่เด็กวัยรุ่นคนใดว่าเป็นผู้ดูหมิ่นและจะต้องถูกจับ กลับสั่งให้คนขับรถที่เด็กวัยรุ่นโดยสารมาขับรถไปสถานีตำรวจ จึงถือไม่ได้ว่ามีการจับกุมในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานโดยชอบ ดังนั้น แม้จะฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ต่อสู้ขัดขวางมิให้สิบตำรวจตรีบริหารกับสิบตำรวจโทบุญธรรมเข้าจับกุมพวกของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
ปัญหาที่จะวินิจฉัยต่อไปคงมีว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกับพวกที่หลบหนีทำร้ายร่างกายพลตำรวจเซนต์และสิบตำรวจโทบุญธรรมหรือไม่ โจทก์มีพลตำรวจเซนต์ สิบตำรวจโทบุญธรรม สิบตำรวจตรีบริหารและพลตำรวจสวัสดิ์เป็นประจักษ์พยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า เห็นจำเลยที่ 1 กระชากคอเสื้อพลตำรวจเซนต์แล้วชกที่หน้าพลตำรวจเซนต์ 1 ที พลตำรวจเซนต์เข้ากอดปล้ำกับจำเลยที่ 1 ทั้งสองคนตกลงไปที่ร่องน้ำข้างถนน แต่นายคำไพ บุญสุระ ประจักษ์พยานโจทก์อีกปากหนึ่งกลับเบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 1 เซถลาตกลงไปที่ร่องน้ำข้างถนน โดยมีเจ้าพนักงานตำรวจแต่งเครื่องแบบคนหนึ่งตามลงไปใช้มือดึงคอเสื้อจำเลยที่ 1 แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งชกใบหน้าจำเลยที่ 1ประมาณ 3 ที พยานตะโกนร้องห้าม เจ้าพนักงานตำรวจจึงหยุดแล้ววิ่งขึ้นมาจากร่องน้ำ เห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด คำเบิกความของนายคำไพนั้นเจือสมข้อนำสืบของจำเลยที่ 1 นายคำไพเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับคู่ความฝ่ายใด จึงเชื่อได้ว่านายคำไพเบิกความไปตามความจริงตามคำเบิกความของนายคำไพนี้ไม่ปรากฏว่าเห็นจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานตำรวจแต่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองดังกล่าวข้างต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน.