โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของจักรเย็บผ้าซิงเกอร์แบบ ๒๐๑ เค ๒๑ บี แอล เค ๔๐๔ เลขจักร บี เอส ๒๓๘๒๐๗ ซึ่งนายถมยาได้เช่าซื้อไปเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๐๕ ราคา ๔,๗๘๐ บาท โดยจะต้องชำระค่าเช่าซื้อเดือนละ ๑๖๐ บาท จนกว่าจะครบโจทก์จึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ แต่ผู้ซื้อยังชำระราคาไม่ครบ โจทก์จึงยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้ จำเลยเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนดำเนินกิจการโรงรับจำนำ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๐๕ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้จัดการได้รับจำนำจักดังกล่าวไว้ด้วยความประมาทเลินเล่อไม่สอบสวนให้รู้ว่าผู้จำนำไม่มีกรรมสิทธิ์ รับจำนำไว้เป็นเงิน ๑,๗๐๐ บาท จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ จำเลยออกตั๋วจำนำเลข ๗๔๖๙ ให้ และเมื่อผู้จำนำส่งดอกเบี้ยเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ จำเลยได้ออกตั๋วให้ใหม่เลข ๔๘๙๑ โจทก์ได้ส่งจดหมายลงทะเบียนให้จำเลยคืนจักรให้โจทก์ใน ๗ วัน จำเลยไม่ยอมรับจดหมายลงทะเบียน โจทก์จึงถือว่าได้บอกกล่าวแล้ว จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยให้คืนจักรหรือใช้ราคา ๔,๗๘๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า ใบมอบอำนาจของโจทก์ไม่ถูกต้อง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จักรที่จำเลยรับจำนำไว้กับจักรรายพิพาทเป็นคนละคัน จำเลยไม่ได้ประมาทเลินเล่อในการรับจำนำ จำเลยรับจำนำเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ เป็นการรับจำนำตามสัญญาใหม่ซึ่งพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๕๐๕ ใช้บังคับแล้ว จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครอง คำบอกกล่าวของโจทก์ให้คืนจักรมิได้เสนอที่จะชำระหนี้จำนำ จำเลยยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง บัดนี้ล่วงเลยเวลาไถ่คืน จำเลยได้ประกาศและปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ไม่มีผู้ใดมาขอไถ่ จักรดังกล่าวจึงตกเป็นของจำเลย จำเลยได้ทรัพย์มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน มิได้ประมาทเลินเล่อ จึงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ต้องคืนหรือใช้ราคาแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ขอสืบพยานในเรื่องอำนาจฟ้อง และสืบว่าจักรรายพิพาทเป็นจักรคันเดียวกับคันที่โจทก์ฟ้องเรียกคืน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยาน โจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ใบมอบอำนาจของโจทก์ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๗ โจทก์มีอำนาจฟ้อง ในเรื่องการรับจำนำจักรนั้น จำเลยได้รับจำนำเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๐๕ จึงต้องใช้บังคับตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๔๘๐ ปรากฏตามเอกสารว่า นายถมยาเช่าซื้อเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๐๕ แต่จำเลยรับจำนำจากนายเสน่ห์เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๐๕ แม้ตัวเลขของจักรตรงกัน ก็ไม่สามารถจะฟังว่าเป็นจักรรายเดียวกันได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ขอนำสืบว่าจักรคันที่ฟ้องเป็นจักรคันเดียวกับคันที่จำเลยรับจำนำ
ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และจำเลยมิได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๕๐๕
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ในเรื่องการรับจำนำนั้น จำเลยได้รับจำนำจักรเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๐๕ เป็นเงิน ๑,๗๐๐ บาท เมื่อผู้จำนำส่งดอกเบี้ยในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ จำเลยได้ออกตั๋วให้ใหม่นั้น พระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๔๘๐ มาตรา ๔ บัญญัติว่า ในพระราชบัญญัตินี้ "รับจำนำ" หมายความว่า กิจการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖ กล่าวคือ รับจำนำไว้เป็นประกันเงินกู้ซึ่งมีจำนวนไม่เกิน ๔๐๐ บาท ฯลฯ ดังนั้น การที่จำเลยรับจำนำจักรไว้เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นเงิน ๑,๗๐๐ บาท จึงไม่ใช่การรับจำนำตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๔๘๐ จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ แต่เป็นการรับจำนำที่จะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่จำเลยได้รับจำนำต่อเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ ไม่กระทำให้เป็นการรับจำนำตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งเพิ่งใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในจักรรายนี้ ก็ย่อมมีสิทธิจะติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลย
แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นการชอบแล้ว พิพากษายืน