โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของธนาคารกรุงไทย จำกัดจำเลยที่ 3 สาขาลาดพร้าว ตำแหน่งสมุห์บัญชี จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการธนาคารดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2526 โจทก์ฝากเงินสดเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ที่เปิดไว้กับจำเลยที่ 3 จำนวน 2รายการเป็นเงิน 1,100,000 บาท จำเลยที่ 3 ได้ลงรายการเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ลงรายการแก้ไขหักเงินออกจากบัญชีโดยลงรายการประเภทแก้ไขข้อผิดพลาด ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน 1,149,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ18 ต่อปี ในต้นเงิน 1,100,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามไม่เคยได้รับเงินฝากดังกล่าวจากโจทก์ การแก้ไขบัญชีกระแสรายวันเป็นการแก้ไขเมื่อลงตัวเลขในบัญชีผิดพลาด เป็นวิธีปฏิบัติตามปกติของธนาคารขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน1,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1มีนาคม 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นสมุห์บัญชี จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการ ส่วนนายไพโรจน์ลักษณาวิน เป็นพนักงานฝ่ายสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย จำกัด จำเลยที่ 3 สาขาลาดพร้าว โจทก์เป็นลูกค้าเปิดบัญชีกระแสรายวันไว้กับจำเลยที่ 3 สาขาลาดพร้าว นายไพโรจน์ นำเช็คซึ่งอ้างว่าเป็นของลูกค้าจำเลยที่ 3 ไปขายให้กับโจทก์ โดยโจทก์จะได้ส่วนลดร้อยละ 6ของจำนวนเงินตามเช็คแต่ละฉบับ ส่วนลดที่โจทก์ได้นี้โจทก์จะแบ่งให้นายไพโรจน์ร้อยละ 2 โจทก์คงได้ร้อยละ 4 เมื่อเช็คที่นายไพโรจน์นำมาขายถึงกำหนด นายไพโรจน์จะมาขอรับเช็คเพื่อนำไปเก็บเงินจากลูกค้าผู้สั่งจ่ายเช็ค แล้วนำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2526 นายไพโรจน์มาขอรับเช็คที่ถึงกำหนดเพื่อนำไปเก็บเงินรวมเป็นเช็ค 9 ฉบับ เป็นเงิน 1,100,000 บาท และในวันเดียวกันนายไพโรจน์ได้นำบัญชีกระแสรายวันหรือสเตทเมนต์ซึ่งลงรายการว่าจำเลยที่ 3 ได้รับเงินฝากรวม 2 รายการ เป็นเงิน1,100,000 บาท มาแสดงต่อโจทก์เหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติ หลังจากนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ขีดฆ่ารายการลงรับเงิน 1,100,000 บาทโดยอ้างว่ามิได้มีการนำเงิน 1,100,000 บาท ฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ สำหรับเรื่องที่นายไพโรจน์นำเช็คไปขายลดให้โจทก์นั้น ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของทั้งสองฝ่ายว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมรู้เห็นในการกระทำของนายไพโรจน์แต่ประการใด เช็คที่นำไปขายลดให้แก่โจทก์ก็มีทั้งของจำเลยที่ 3 และมิใช่ของจำเลยที่ 3ดังนั้นในเรื่องที่นายไพโรจน์นำเช็คไปขายลดให้แก่โจทก์โดยต่างได้รัผลประโยชน์จากส่วนลดร่วมกันนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างโจทก์กับนายไพโรจน์ จำเลยทั้งสามหามีส่วนจะต้องรับผิดในเรื่องดังกล่าวนี้ไม่ ส่วนเรื่องที่นายไพโรจน์นำเงินที่เก็บได้จากลูกค้าผู้สั่งจ่ายเช็ค แล้วนำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์นั้นเห็นว่า เท่ากับนายไพโรจน์เป็นผู้ไปรับเงินฝากเข้าบัญชีจากโจทก์ซึ่งเป็นลูกค้า โดยที่โจทก์ไม่ต้องนำเงินมาฝากเข้าบัญชีที่ธนาคารด้วยตนเอง อันเป็นการให้ความสะดวกแก่ลูกค้าของจำเลยที่ 3 นั่นเองจำเลยที่ 1 ก็ตอบค้านทนายโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ทราบว่านายไพโรจน์เคยเขียนใบเปย์อิน และนำเงินเข้าบัญชีให้แก่โจทก์บ่อย ๆ ซึ่งไม่เคยปรากฏว่ามีความเสียหาย คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับเอาการกระทำหรือการปฏิบัติของนายไพโรจน์ที่ไปรับฝากเงินจากลูกค้านอกสถานที่ และเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ก็ทราบด้วยดังจะเห็นได้จากใบรับฝากเงิน และบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ รายการฝากเงินดังกล่าวหลายรายการฝากเป็นจำนวนหลายแสนบาท จึงมีผลเท่ากับจำเลยทั้งสามเชิดให้นายไพโรจน์เป็นตัวแทนออกไปรับฝากเงินจากลูกค้านอกสถานที่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821เมื่อถือว่านายไพโรจน์เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยไปรับฝากเงินจากลูกค้านอกสถานที่แล้ว เรื่องการนำเงินที่รับฝากมาเขียนใบเปย์อินการลงบัญชีรับฝากเงินสด การที่จำเลยที่ 1 จะต้องลงชื่อกำกับยอดเงินในบัญชีกระแสรายวันตลอดจนนายไพโรจน์จะมีหน้าที่ทำอะไรบ้างนั้น เป็นเรื่องภายใน บุคคลภายนอกหารู้ไม่ ดังนั้นในกรณีเรื่องนี้ หากนายไพโรจน์ได้รับเงินจากลูกค้าผู้สั่งจ่ายเช็คเพื่อนำมาเข้าบัญชีให้โจทก์อย่างที่เคยปฏิบัติแล้ว ถึงแม้นายไพโรจน์จะทุจริตมิได้นำมาเข้าบัญชี ธนาคารจำเลยก็จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820, 821 แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่านายไพโรจน์มิได้รับฝากเงินจากโจทก์ตามฟ้อง ดังนั้นแม้จะมีการลงรายการในบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ว่าฝากเงิน1,100,000 บาท ซึ่งเป็นการผิดพลาดไป จำเลยก็มีอำนาจที่จะขีดฆ่ารายการดังกล่าวออกและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.