โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2533 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นตึกแถว 4 ชั้นจำนวน 2 คูหา ราคา 7,000,000 บาท ชำระในวันทำสัญญา400,000 บาท ที่เหลือชำระเป็นงวดทุกวันที่ 25 ของแต่ละเดือนนับแต่เดือนกันยายน 2533 เป็นต้นไปจนถึงเดือนสิงหาคม 2534งวดละ 233,334 บาท ส่วนที่เหลือ 3,800,000 บาท ชำระภายใน 15 วัน นับจากวันที่จำเลยก่อสร้างตึกแถวเสร็จและแจ้งให้โจทก์ทราบ นับแต่ทำสัญญาจะซื้อจะขายจำเลยมิได้ลงมือก่อสร้างอาคารตึกแถวดังกล่าว ทำให้มีการระงับการชำระเงินงวดที่ตกลงกันไว้ เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยไม่ถือกำหนดเวลาการชำระเงินเป็นงวดเป็นข้อสาระสำคัญของสัญญา ต่อมาจำเลยอ้างว่าได้ลงมือก่อสร้างอาคารดังกล่าวขอให้โจทก์ไปติดต่อชำระค่างวด มิฉะนั้นถือว่าสละสิทธิในการจองซื้อ โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยแสดงเจตนาสละสิทธิการจอง สัญญาจะซื้อจะขายเป็นอันเลิกกันโจทก์จำเลยจึงกลับคืนสู่ฐานะเดิม ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน422,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน400,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่จำต้องคืนเงินมัดจำจำนวน400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์ชำระตามสัญญาจะซื้อจะขายเพราะโจทก์เป็นผู้ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 400,000 บาทให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าโจทก์ทำสัญญาว่าจะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยในราคา7,000,000 บาท โดยวางมัดจำในวันทำสัญญา 400,000 บาท ที่เหลือผ่อนชำระเดือนละ 233,334 บาท รวม 12 งวด และที่เหลืออีก3,800,000 บาท จะชำระภายใน 15 วัน นับจากจำเลยก่อสร้างตึกแถวตามสัญญาเสร็จและแจ้งให้โจทก์ทราบ ปรากฏตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.4 ระหว่างสัญญาโจทก์ไม่ได้ผ่อนชำระค่างวดรายเดือนให้แก่จำเลยตั้งแต่ต้นมาเป็นเวลา 8 เดือนติดต่อกัน จำเลยจึงมีหนังสือถึงโจทก์ให้ชำระค่างวดที่ค้างภายใน 7 วันนับจากวันที่ได้รับหนังสือ มิฉะนั้นจะถือว่าโจทก์สละสิทธิในการจองซื้อตามหนังสือเอกสารหมาย จ.5 เมื่อโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย และให้จำเลยคืนเงินมัดจำตามหนังสือเอกสารหมาย จ.6 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ก่อนจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินค่างวดที่ค้างตามหนังสือเอกสารหมาย จ.5 โจทก์ไม่ได้ประพฤติผิดสัญญาจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้าน เมื่อตามหนังสือเอกสารหมาย จ.5ระบุว่า "ตามที่ท่านได้จองซื้ออาคารพาณิชย์ดังกล่าวจากบริษัทกีรทรัพย์ แมนชั่นวิลล์ นั้นท่านมิได้มาชำระค่างวดติดต่อกันเป็นเวลา 8 งวด (เดือน) นับตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2533ถึง 25 เมษายน 2534 ทางบริษัทจึงใคร่เรียนให้ทราบว่า บัดนี้ทางบริษัทได้ลงมือทำการก่อสร้างอาคารดังกล่าวแล้ว จึงขอให้ท่านมาติดต่อชำระค่างวดที่สำนักงานบริษัทภายใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับจดหมาย มิฉะนั้นทางบริษัทจะถือว่าท่านสละสิทธิในการจองซื้อดังกล่าว หากท่านขัดข้องประการใด กรุณาแจ้งให้ทางบริษัททราบด้วย" ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การที่โจทก์ไม่ชำระค่างวดรายเดือนตามสัญญาติดต่อกันมาเป็นเวลา 8 เดือนจำเลยไม่ถือเป็นข้อผิดสัญญาแต่อย่างใด ฉะนั้นที่จำเลยแก้ฎีกาว่าโจทก์ผิดสัญญานั้น จึงรับฟังไม่ขึ้น สัญญาจะซื้อจะขายยังมีผลผูกพันกันอยู่ โจทก์มิได้ผิดสัญญา และเมื่อพิจารณาข้อความในหนังสือเอกสารหมาย จ.5 ที่ว่า "มิฉะนั้นทางบริษัทจะถือว่าท่านสละสิทธิในการจองซื้อ" แล้วเห็นว่า เป็นข้อความที่จำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าโจทก์ไม่ชำระค่างวดที่ค้างภายในกำหนด หรือไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้จำเลยทราบเมื่อเป็นเช่นนี้การที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยตามเอกสารหมาย จ.6 ย่อมมีสิทธิทำได้ กรณีจึงเป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างยอมเลิกสัญญาต่อกันโดยไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญา โจทก์และจำเลยต่างต้องคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย"
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น